กัญจน์มองยัยผู้หญิงดื้อรั้นอวดดีที่เอาแต่นั่งนิ่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวแล้วเขาไม่ชินเลย วูบหนึ่งมีความสับสน ในซอกหลืบมุมใดมุมหนึ่งของหัวใจใจคล้ายมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ที่มา รู้แต่ว่ามันทำให้เขากระวนกระวายแปลกๆ ต่อมาก็นึกใจหาย รู้สึกได้ว่าสาวน้อยที่คอยวิ่งไล่ตามเขาต้อยๆ ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้ายใส่เธอได้เลือนหายไปแล้วต่อหน้าต่อตา
เขาผ่อนลมหายใจ สีหน้าเรียบเฉยแต่ติดขรึม แววตาวูบไหวเพียงแวบเดียวก็เย็นชาเหมือนเคย จู่ๆ ก็พูดในสิ่งที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องอธิบายให้เธอเข้าใจด้วย
“พิมพ์ท้อง อีกหน่อยลูกในท้องก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ฉันเลยอยากทำให้ถูกต้อง ให้สถานะที่เธอควรได้รับ”
“ค่ะ” มธุมาสพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ “คุณทำถูกแล้ว” แถมยังยิ้มบางๆ ดวงตาใสซื่อแสดงความยินดีกับเขาอย่างชัดเจน บนใบหน้าไม่ส่อเค้าความเจ็บปวดเลยแม้แต่นิด คล้ายเรื่องที่เขาพูดไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ พวกเราไม่เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน ยิ่งไม่เคยรักใคร่ผูกพันกันเสียด้วยซ้ำ
กัญจน์ขมวดคิ้ว ท่าทางยิ่งหงุดหงิดเหมือนไม่ได้ดังใจอะไรสักอย่าง แต่มธุมาสทำเฉยไม่ได้ใส่ใจ แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น คนจะหย่ากันอยู่แล้ว จะต้องรับรู้อะไรที่ทำให้ไม่สบายใจไปทำไม
“ไหนล่ะคะเอกสารข้อตกลงการหย่าของเรา”
คนถูกถามชะงักเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเร่งเร้าเขาเอง ที่ถูกเธอน่าจะร้องไห้วิงวอนหรือไม่ก็ฟูมฟายขอร้องให้เขายกเลิกการหย่ามากกว่าไม่ใช่หรือ...
มธุมาสเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเขาอีกครั้ง เมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่ง สีหน้าเขาเข้มขึ้นอีกนิด ก่อนหยิบเอกสารแทบจะโยนใส่หน้าเธอ
หญิงสาวกวาดตาเปิดอ่านแบบผ่านๆ แต่ก็ต้องประหลาดใจ ใครจะคิดว่าคนที่เกลียดกันยันเงาอย่างเขาจะใจป้ำยกคอนโดหรูแถวสาทรให้เธอหนึ่งห้อง ย่านเศรษฐกิจแบบนั้นอย่างน้อยๆ ราคาก็ไม่ต่ำว่าสิบล้านแน่ แถมเงินก้นถุงอีกสิบล้านเป็นของขวัญหลังการหย่า
นี่เธอกลายเป็นเศรษฐีนีย่อยๆ เลยนะ!
“น้อยไป?” เขาถามเสียงเยาะ เมื่อเห็นเธอไม่พูดอะไร ยังคงวางสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ” เธอยิ้มจากใจ หยิบปากกาจากกระเป๋าถือใบเล็กเพื่อจดลายเซ็นลงไปอย่างไม่ลังเล
ทว่ากลับได้ยินเสียงเขาเอ่ยขัดขึ้นมาก่อนว่า...
“ถ้าเธอไม่อยากหย่า เรายังสามารถอยู่กันแบบนี้ต่อไปได้ ขอแค่เธอเชื่อฟังและยอมอยู่ในที่ของเธอดีๆ ไม่ไปหาเรื่องระรานพิมพ์กับลูก”
ให้อยู่กันแบบสามคนผัวเมียเนี่ยนะ?
เชิญพวกคุณไปทัวร์นรกปีนต้นงิ้วกันให้พอใจเถอะ!
มธุมาสตวัดปลายปากกาเซ็นชื่อลงไปโดยไม่ต้องคิด แล้วยื่นไปตรงหน้าเขา ยิ้มรับอิสรภาพที่เพิ่งได้คืนมาหมาดๆ ผิดกับอดีตสามีที่สีหน้าดำคล้ำลงเรื่อยๆ
“รบกวนให้คนช่วยส่งใบหย่าตามมาทีหลังด้วยนะคะ” คำพูดตามหลังยังไม่เจ็บแสบเท่ากับการที่มธุมาสรูดแหวนแต่งงานออกจากนิ้วตอกหน้าเขา ย้ำชัดว่าปฏิเสธ
“ฉันขอคืนค่ะ”
กัญจน์มองเธอนิ่ง ในดวงตาลุ่มลึกที่บัดนี้ดูซับซ้อนมีแสงเยียบเย็นแวบผ่าน แม้จะแค่วูบเดียวแต่มธุมาสก็สัมผัสได้รางๆ ถึงความเจ็บปวดแกมอาวรณ์ ก่อนที่จะถูกไฟโกรธที่สุมอยู่ข้างใจจวนจะระเบิดกลบจนหายวับ
“ฉันไม่เอา” เขาตะคอกกลับมาเสียงขุ่นจัด “ดูเธอรีบร้อนเหลือเกินนะ ทั้งที่เมื่อก่อนต่อให้ฉันจะบังคับหรือกดดันเธอยังไง เธอก็ไม่ยอมหย่า”
มธุมาสชะงักมือที่กำลังรูดแหวนสวมกลับคืนตามเดิม ในเมื่อเขาไม่เอา งั้นเธอไม่เกรงใจละนะ ของมีค่าราคาเป็นล้านแบบนี้ทิ้งไปก็น่าเสียดายแย่ สู้เปลี่ยนเป็นเงินเอามาช่วยพยุงบริษัทพลการช่าง คอนสตรัคชั่น ของบิดาเธอยังจะเป็นประโยชน์มากกว่า
“ฉันคงโตขึ้นมั้งคะ ก็เลยเข้าใจโลกมากขึ้น”
“หรือไม่เธออาจจะมีเป้าหมายใหม่แล้วก็ได้” พูดพลางกวาดตาโลมเลียหญิงสาวทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างหยาบคายเหมือนเธอเป็นโสเภณีราคาถูก ก่อนแสยะยิ้มรังเกียจ
มธุมาสพลันคอแข็ง มือกำหมัดแน่นเพียรระงับโทสะไม่ให้เผลอฟาดหน้าผู้ชายใจหยาบอย่างเขาให้เสียมือ เธอยิ้มรับคำพูดหยาบหยามอย่างไม่รู้สึกรู้สา รอยยิ้มหวานๆ แสนเย้ายวนนั้น ผู้ชายคนไหนได้เห็นก็คงต้องมีใจสั่นกันบ้างละ
“แปลกตรงไหนล่ะคะ ตอนนี้ฉันโสดแล้ว ถ้าจะลองเริ่มต้นมองหาความรักครั้งใหม่ดีๆ สักคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
“ใครล่ะ... ไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่มันยอมรับของเหลือเดนต่อจากฉันน่ะ”
“อืม...ยังระบุชัดเจนไม่ได้หรอกค่ะ แต่เท่าที่เห็นก็กดบัตรคิวรอกันอยู่หลายคนนะคะ ของแบบนี้มันต้องค่อยๆ คบทำความรู้จักกันไปก่อน จะได้ไม่พลาดอีก”