มธุมาสขับรถมาตามที่กัญจน์นัดไว้ ก่อนขึ้นไปที่ห้องเขา เธอแวะดูห้องตัวเองก่อน ตั้งแต่ได้รับเอกสารหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดพร้อมคีย์การ์ด เธอก็ยัดมันไว้ในคอนโซลรถมาตลอด ยังไม่มีโอกาสได้มาดูสักครั้ง จึงถือโอกาสนี้สำรวจไปในตัวเลยก็แล้วกัน
พอแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้องปุ๊บ มธุมาสก็ต้องเลิกคิ้วแปลกใจกับขนาดห้องที่กว้างขวางราว 300 กว่าตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดของเพนต์เฮาส์ ภายในตกแต่งอย่างหรูหรามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันพร้อมอยู่ บนชั้นสองเป็นห้องนอนโอ่งโถงขนาดสองห้องนอน ห้องน้ำก็เป็นแบบที่เธอชื่นชอบมีอ่างน้ำวนให้เธอเหยียดกายนอนแช่ได้เต็มที่ แถมยังมีพื้นที่สวนด้านข้างให้พักผ่อนหย่อนใจมองวิวสวยๆ ของกรุงเทพฯ จากที่สูงได้แบบ 360 องศาอีกด้วย
เขาใจป้ำขนาดนี้เชียว?
ลองประเมินด้วยสายตาราคาเพนต์เฮาส์ระดับนี้ แถมยังอยู่ในย่านเศรษฐกิจซึ่งที่ดินแพงหูฉี่ จะซื้อได้ก็ต้องมีเงินเหลือเฟือในกระเป๋าไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้านบาทนั่นแหละ
มธุมาสฉีกยิ้มเมื่อลองคำนวณจำนวนเงินคร่าวๆ หากสามารถขายเพนต์เฮาส์ห้องนี้ได้ มันน่าจะมากพอให้บริษัทของเธอผ่านพ้นวิกฤตไปได้สักระยะ เจ้าของร่างบอบบางเดินมาทิ้งตัวนั่งบนโซฟาเบดนำเข้า เริ่มเบาใจลงบ้างเมื่อเห็นลู่ทางไปต่อ ก่อนที่หนังตาจะเริ่มหย่อนเพราะความนุ่มนิ่มนอนสบายของเบาะที่ทำจากขนสัตว์เนื้อนุ่ม
ไม่รู้ว่าตัวเองนอนหลับไปนานแค่ไหน ตราบจนได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือแผดเสียงลั่น มธุมาสปรือตารับสายอย่างงัวเงีย
“ฮัสโหล”
“เธออยู่ที่ไหน” เสียงแข็งๆ ติดเย็นชาที่ลอยมากระทบโสตประสาทหู ทำให้เธอตาสว่างทันที
“ฉันอยู่ที่ห้อง”
“รีบขึ้นมา” เขาสั่งเสียงห้วนแล้ววางสาย
มธุมาสเม้มริมฝีปากอย่างเข่นเขี้ยว อยากเขวี้ยงโทรศัพท์ระบายความโมโหนัก แต่ก็เสียดายเพราะนี่มันของเธอ เรื่องอะไรจะทำของตัวเองเจ๊งเพราะเขาด้วยล่ะ
เธอลุกขึ้นเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นตื่นตัว ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดซึ่งเป็นที่พักเพียงชั้นเดียวห้องเดียวของกัญจน์ เคาะประตูสองทีแล้วเปิดเข้าไปเมื่อพบว่ามันได้ไม่ล็อก ภายในห้องรับแขกที่โล่งกว้างกรุด้วยกระจกสีชารอบทิศ มีร่างกายสูงสง่าของเจ้าของห้องนั่งเหยียดแขนกางขาอยู่ราวกับเป็นมาเฟียชั้นสูง
“เธอมีธุระอะไรกับฉัน”
เขากระตุกยิ้มเยาะทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจ ทำให้มธุมาสไม่พอใจ ก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว
“คุณระรานเพื่อนฉันทำไม ถ้าไม่พอใจก็เล่นงานฉันตรงๆ สิ เพื่อนฉันไม่เกี่ยว”
กัญจน์ยักไหล่
“พวกเขาไม่เห็นหัวฉัน ฉันก็ต้องให้บทเรียนเล็กๆ น้อยๆ บ้างสิ”
“แค่เพราะพวกเขาช่วยฉันงั้นเหรอ”
เธอกลอกตา ทำเสียงเยาะขึ้นจมูกกับพฤติกรรมไร้สาระ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าคนระดับกัญจน์จะเป็นผู้บริหารยักษ์ใหญ่ในแวดวงธุรกิจได้
“นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น” เขาเพิกเฉยต่อการดูถูกของเธอ เอ่ยเสียงเรียบเยียบเย็น
“คุณจะเอายังไง” มธุมาสกระชากเสียงถามอย่างเหลืออด
เสียงหัวเราะเสียดลึกในลำคอดังขึ้น ทำให้คนฟังยิ่งหงุดหงิด
“นี่เธอกำลังขอร้องฉันเหรอ”
มธุมาสกัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือด
“ใช่!”
“เธอมีอะไรมาแลกล่ะ”
เขาเหยียดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตากลัดมันหยาบโลนจางจ้วงชนิดที่เธอหน้าชาตัวชาดิก นึกอยากจะกัดลิ้นตายไปให้พ้นๆ แต่ทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเค้นเสียงถามว่า
“คุณต้องการอะไรก็รีบๆ พูดมา ไม่ต้องลีลา”
“งั้นแสดงความจริงใจของเธอให้ฉันเห็นหน่อยสิ”
กัญจน์กางขาออกกว้างกว่าเดิม สายตาพุ่งตรงไปที่เป้ากางเกงอย่างสื่อความหมายเป็นนัยๆ ดวงตาเฉียบคมสานสบมองเธอราวกับจะ ‘วัดใจ’ กัน!