๑.๐๖
เอกพจน์ผ่านหลักสูตรสอนกอล์ฟ ออกให้โดยสมาคมกอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย ขณะที่โปรกอล์ฟประจำตัวผมได้งานสอนต่างจังหวัด แม่จึงจ้างเอกพจน์มาเป็นโค้ชแทน
ฝีมือกอล์ฟผมภายใต้กำกับการซ้อมและการลงเล่นสนามจริงจากเอกพจน์ดีขึ้นมาก มีอยู่วันหนึ่งเอกพจน์ถามว่า
“ก้างพร้อมลงแข่งแล้วยัง”
ตอนนี้คุ้นแล้วที่เอกพจน์เรียกผมก้างมาตลอด “โต้อ่ะพร้อมอยู่แล้วถ้านายว่าพร้อม”
“งั้นปีหน้าพี่จะสมัครให้ก้าง ลงแข่งจัดลำดับนักกอล์ฟเยาวชนภาคกลางเลยละกัน”
“Yeah!” ผมอุทานอย่างสะใจพร้อมชูกำปั้นขึ้นระดับอก “โต้จะเอาแชมป์ไปฝากแม่”
“มันไม่ง่ายอย่างที่คิดนะเพราะหนทางยังอีกไกล ร่างกายก้างต้องสมบูรณ์และจิตต้องแกร่งพอ” เอกพจน์ร่ายยาว
“นายต้องแบกถุงกอล์ฟให้โต้ด้วยนะ จะได้ช่วยแนะนำตอนแข่ง”
“พี่รู้น่า ขอให้ก้างเชื่อฟังพี่ละกัน”
ผมพยักหน้ารับและฝึกซ้อมด้วยแววตามุ่งมั่น... รู้ว่าวันหนึ่งแชมป์กอล์ฟต้องเป็นของผม เพราะในความฝัน เห็นผู้คนโห่ร้องดังสนั่นเมื่อผมชูถ้วยแชมป์ชนะเลิศ
แค่ไม่รู้ว่าเป็นแชมป์รายการไหนเท่านั้น!
ผมชื่นชมพรสวรรค์การเล่นเปียโนของน้องชาช่ามาก ด้วยวัยสิบขวบ ชาช่าสามารถสอบ Trinity ได้เกรดแปดจาก Trinity College of London ป้าเสาวลักษณ์บอกแม่ว่า ชาช่าน่าจะได้ certificate ระดับ ๑๒ อันเป็นระดับสูงสุดของการเรียนเปียโนในอีกไม่เกินสองปี ตรงข้ามกับผมที่ทักษะเปียโนเทียบได้เพียงระดับ ๔ แต่ฝีมือเล่นกีตาร์นี่สิ ต้องขอชมตัวเองหน่อยว่ามีพรสวรรค์เป็นเลิศ
ชาช่ายังคงดูอ้วนท้วมสมบูรณ์ ส่วนผมแม้แม่จะพยายามขุนให้มีเนื้อเพิ่มก็ดูเหมือนไม่เป็นผล ยังผอมแห้งเก้งก้างเหมือนเดิม แต่ในเกมกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอล กลับมีความคล่องแคล่วสูง จึงได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลกีฬาสีสังกัดทีมสีแดง ส่วนกีฬากอล์ฟยิ่งไม่น่าห่วง เพราะการเล่นได้ดีขึ้นอยู่กับวงสวิง และสมาธิต้องแข็งแกร่งระหว่างการเล่นมากกว่า
ความรู้สึกผูกพันต่อชาช่าไม่เคยเปลี่ยนแต่กลับเพิ่มขึ้น แม้เราอายุห่างกันแค่สองปี แต่ผมกลับมองว่าชาช่าตัวตุ้ยนุ้ยน่ารัก เหมือนเด็กอายุสองขวบที่เห็นในฝัน มันเป็นฝันที่สามารถสัมผัสว่าได้อุ้มน้องในอ้อมกอด นี่คือเหตุผลที่ผมยังคงเรียนเปียโน เพราะความผูกพันต่อชาช่าเหมือนพี่เหมือนน้องกัน
หลังเหตุการณ์ฟ้าผ่าเสาธงโรงเรียน ปรากฏน้องปนัดดาและชาช่าสนิทกันมากกว่าก่อน ผมรู้ทันใดว่า ตอนนี้มีน้องสาวสองคนให้ต้องอยู่ในความดูแล
ความที่ติดทีมฟุตบอลกีฬาสีจึงต้องอยู่ซ้อมทุกเย็น แฟนคลับประจำที่เฝ้าดูผมฝึกซ้อมคือแม่ ป้าเสาวลักษณ์ ชาช่าและปนัดดา พูดถึงป้าเสาวลักษณ์ทีไร อดคิดถึงกีตาร์และความอบอุ่นของอ้อมกอดจากป้าเสาวลักษณ์ทุกครั้ง พาลให้คิดถึงรูปลูกชายป้าเสาวลักษณ์ จนต้องเก็บเอาไปฝัน!
ใช่ครับ ลูกชายป้าชื่อเทวเนตร ผมว่าผมรู้จักเขาดีนะ เพราะเคยฝันเห็นเขา ...ว่า
เด็กย่างสู่วัยรุ่นสูงผอมปราดเปรียว กำลังเลี้ยงลูกฟุตบอลหลบฝ่ายตรงข้ามจนหลุดพ้น และกำลังหมายยิงทำประตูชนะในระยะหวังผล ก็ปรากฏเด็กหนุ่มร่างกำยำพุ่งสกัดบอลจากด้านหลัง จนเด็กวัยรุ่นผอมคนนั้นหงายล้มคว่ำ จำต้องออกจากการแข่งขัน
เป็นผลให้ทีมเด็กวัยรุ่นคนนั้นแพ้!
เย็นนี้ เหตุการณ์ DEJA VU เหมือนความฝันเกิดขึ้นขณะซ้อมฟุตบอล ผมกำลังจะยิงประตูแต่ถูกสกัดจากด้านหลัง รู้สึกปวดแปลบข้อเท้าขวาจนล้มลง เหลียวมองตามเสียงแม่ที่หวีดร้องตกใจวิ่งมาแต่ไกลพร้อมป้าเสาวลักษณ์ ชาช่าและปนัดดา
ป้าเสาวลักษณ์ถอนหายใจโล่งเมื่อทราบว่าผมบาดเจ็บเล็กน้อย ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพียงพันข้อเท้า ส่วนแม่จะพาไปหาหมอและขอร้องให้เลิกเล่นฟุตบอล แต่ผมไม่ยอม
ช่วงพักฟื้นต้องอดซ้อมบอล ตกเย็นทำให้ผมมีเวลาทบทวน DEJA VU จากฝัน ให้สงสัยและยิ่งสับสนจนไม่กล้ารับความจริง
คืนนี้ผมฝันเป็นคืนที่สองติดต่อกัน แต่เป็นความฝันของอนาคตครั้งแรก...
ผมวิ่งเหนื่อยหอบพล่าน หาของสิ่งหนึ่งไปทั่ว ภายในสถานที่กว้างใหญ่ด้วยแสง สีและเสียงทั่วบริเวณ ตามด้วยเสียงปรบมือสนั่นดังเป็นระยะ ๆ
ผมเหนื่อยเหลือเกินแต่รู้ว่าหยุดวิ่งไม่ได้
ในที่สุดก็เจอ ผมหยิบสิ่งของนั้นโดยไม่ทราบว่าจะต้องทำอะไรต่อ รู้เพียงว่าต้องวิ่งไปให้ไกลสุดขอบฟ้าสีแดงเบื้องหน้า จากนั้นเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ตามด้วยมหันตภัยวิบัติคร่าชีวิตผู้คนนับร้อยนับพัน
ผมตกใจตื่น เหงื่อท่วมตัวจากฝันอันแสนน่ากลัวครั้งแรกนี้ และนี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะมันเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
วันรุ่งขึ้น ผมยังคงไปเรียนทั้งที่เดินขากระเผลก ๆ พอลงจากรถวันแรก น้องปนัดดาและชาช่ารีบวิ่งมาพยุงส่งถึงห้องเรียน ครั้นได้เวลาเข้าแถวร้องเพลงเคารพธงชาติ ปนัดดากลับรอให้ชาช่าเดินไปก่อน จากนั้นพูดกับผมว่า
“วันนี้แม่เตรียมมื้อเที่ยงให้พี่โตโต้นะ พี่โตโต้จะได้ไม่ต้องเดินไปกินที่โรงอาหาร”
“โอ๊ย... ไม่ต้อง แม่พี่ก็เตรียมมาให้เหมือนกัน”
“แต่แม่ทำไว้แล้วและสั่งดาไปเอาให้พี่โตโต้ทานให้ได้”
“งั้นเราแลกกัน น้องดาทานอาหารกล่องของพี่ ...พี่เบื่ออาหารฝรั่งรสจืด ๆ สู้ของแม่น้องดาไม่ได้”
รู้สึกผิดที่พูดออกไปเช่นนั้น เพราะหากแม่ทราบแม่คงเสียใจ แต่ผมติดใจรสชาติอาหารไทยฝีมือน้าดวงเดือนเสียแล้ว
เที่ยงนั้น น้องปนัดดานั่งทานมื้อเที่ยงกับผมในห้องเรียน อาหารจากน้าดวงเดือนมีไข่ต้มสองฟอง แกงเขียวหวานน่องไก่และน้ำพริกกะปิที่อร่อยจนผมฟาดเรียบยกเว้นไข่ต้ม ส่วนน้องปนัดดาก็ทานอาหารฝรั่งฝีมือแม่ผมหมดเช่นกัน น้องบอกว่าสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าอร่อยเพราะไม่เคยทานมาก่อน ผมจึงขยี้ผมน้องปนัดดาด้วยความเอ็นดู
ไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทสี่คน ธีรยุทธ จักรพันธ์ สุรเดชและโชติมา แอบมองอยู่ ทั้งสี่กระโดดปรากฏให้เห็นฉับพลัน ตะโกนพร้อมกันว่า “SURPRISE!”
“ไอ้แห้ง แกทำอะไร” จักรพันธ์แกล้งตะคอกถาม
ผมสะดุ้งเล็กน้อย รีบชักมือออกจากเส้นผมน้องปนัดดามาเกาหัวตัวเองแทน ปฏิเสธว่า “เปล่านี่”
โชติมาเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่นิสัยออกจะลุย ๆ คล้ายผู้ชาย กระเซ้าผมบ้าง “แน่ะ... แห้งอย่าทำไก๋น่า”
“เปล่าจริง ๆ” ผมมองหน้าโชติมาพร้อมเอามือเสยผม เพราะไม่รู้จะตอบอะไรอีก เขินหรือเปล่าก็ไม่รู้
“แล้วตกใจทำไมวะไอ้แห้ง” ธีรยุทธได้โอกาสแซวบ้าง
“ไม่รู้” ผมยักไหล่ตอบซื่อ ๆ สั้น ๆ ตามสไตล์
“แล้วทำไมปนัดดาไม่กินข้าวที่โรงอาหาร” สุรเดชแกล้งดุน้อง
น้องปนัดดาตีสีหน้างง ไม่เข้าใจสักนิดว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไร ส่วนผมเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเขินอายเพื่อนนิด ๆ
วันรุ่งขึ้น น้าดวงเดือนบอกปนัดดาให้เอาอาหารมื้อเที่ยงมาส่งผมทุกวัน เพราะรู้ผมชอบทานอะไรและไม่ชอบทานอะไร แต่น้องปนัดดาถามแม่กลับว่ารู้ได้อย่างไร แม่น้องปนัดดาก็ไม่ยอมบอก
ผมแลกอาหารเที่ยงทานกับน้องปนัดดาทั้งอาทิตย์ หลังหายดีจึงเดินไปทานที่โรงอาหารกับเพื่อนเช่นเคย สัปดาห์ต่อมาก็กลับไปเล่นบอลได้ตามปกติ
**********
๑.๐๗
เย็นวันที่ประสบอุบัติเหตุจากซ้อมบอล ขณะที่โตโต้กำลังได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอยู่นั้น คุณศรีรัตน์และคุณเสาวลักษณ์ต้องถอยห่างออกไปคุยกัน
“ถ้าลักษณ์จำไม่ผิดนะ” คุณเสาวลักษณ์กล่าวขึ้นก่อน “เทวเนตรตอนอายุสิบสาม เอ็นข้อเท้าฉีกจากเตะบอลเหมือนกัน”
“แล้วเป็นอะไรมากไหมคะ” คุณศรีรัตน์หันขวับถาม
“ไม่มากค่ะ หยุดเล่นบอลแค่สองสามอาทิตย์ก็กลับไปเล่นต่อได้”
คุณศรีรัตน์ถอนหายใจโล่ง ไม่วายถามต่อ “มีอะไรที่ศรีรัตน์ควรทราบเกี่ยวกับเทวเนตรอีกไหมคะ”
“จำได้ไม่ลืมตอนเทวเนตรหนีเรียนกับเพื่อน ไปสมัครคัดตัวนักฟุตบอลเยาวชน ลักษณ์ทราบเพราะเทวเนตรถูกสารวัตรนักเรียนจับส่งถึงบ้าน ข้อหาหนีเรียนและมีเรื่องชกต่อยกับเด็กอื่นจนหัวแตกปากแตก”
“เทวเนตรถูกดุไหมคะ”
“ไม่เลย พ่อเขากลับหัวเราะชอบใจ บอกว่าหมดห่วงเรื่องลูกเป็นคนไม่สู้คน”
“ต่อจากนั้นล่ะคะ”
“ก็ตะเวนแข่งฟุตบอล เขาเป็นดาราของทีมที่เกือบชนะเลิศแต่ไม่เคยทำสำเร็จสักครั้ง” คุณเสาวลักษณ์หัวเราะ
“ขออย่าให้เป็นเหมือนกันทุกเรื่องเลย ห่วงเมื่อโตโต้อายุสิบห้าจะเดินรอยตามเทวเนตรสิคะ” คุณศรีรัตน์แสดงสีหน้ากังวลเมื่อคิดถึงอุบัติเหตุที่พุทธมณฑล กม. ๒๕
“คุณศรีรัตน์เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหมคะ”
“ก่อนหน้าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนนี้คิดว่าเชื่อค่ะ”
“เด็กที่กลับชาติมาเกิด ไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยอดีตชาติค่ะ ทุกชีวิตเกิดใหม่จะมีเส้นทางชีวิตตนเองเสมอ”
“เพี้ยง... ขอให้เป็นจริงเถอะ!” คุณศรีรัตน์ภาวนาในใจ
**********
ผู้เข้าร่วมแข่งขันกอล์ฟเยาวชนจะต้องมีอายุไม่เกินสิบแปดปี
ตารางแข่งจัดอันดับนักกอล์ฟเยาวชนภาคกลางของผม เอกพจน์แจ้งว่ามีโปรแกรมแข่งทั้งหมดสามนัด ๆ ละสองวัน แต่ละนัดจะมีสปอนเซอร์สนับสนุนส่งแชมป์และรองแชมป์รวมสองคน เข้าร่วมแข่งชิงแชมป์กอล์ฟเยาวชนประเทศไทย และมีอีกหนึ่งนัดที่แข่งถึงสามวัน เพื่อหาตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมชิงแชมป์จูเนียร์โลกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
การเข้าร่วมแข่งขันกอล์ฟครั้งแรกขณะผมอายุสิบสามปี จึงถือว่ายังเด็กและขาดประสบการณ์อยู่มาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เลิกฝันว่า การลงแข่งปีแรกจะได้ครองแชมป์ใดแชมป์หนึ่งในสี่นัดนี้
ปรากฏผมชวดหมดทุกตำแหน่ง ไม่ติดอันดับ Top Ten ด้วยซ้ำ แต่ก็เฉียด ๆ นะ
แต่ผมเป็นผู้เข้าร่วมแข่งขันที่เด่นสุดในทุกนัด ด้วยวงสวิงสวยงาม ตีแม่นตีไกล นัยน์ตาคู่ดวงโตฉายประกายความมุ่งมั่นในทุกช็อตที่ตี และทุกคนชมว่าผมเป็นเด็กม้ามืดรูปหล่อ จึงมีกล้องโทรทัศน์คอยถ่ายระหว่างแข่งบ่อยครั้ง และกลุ่มนักข่าวมักจะตามสัมภาษณ์หลังจบการแข่งขันเช่นกัน
“โตโต้คิดว่าพรุ่งนี้จะตีตื้นได้ไหม” นักข่าวคนหนึ่งถาม
ผมมองหน้านักข่าวสาวแวบหนึ่งก่อนก้มหน้าเอามือเสยผมตอบ “ไม่... ไม่รู้ฮะ”
“ดูเหมือนโตโต้ไม่มั่นใจเหรอจ้ะ”
“มั่น... มั่นใจฮะ” ผมยิ้มสู้สายตานักข่าว
“มั่นใจว่าจะได้หรือไม่ได้ตำแหน่งจ้ะ”
คราวนี้ต้องเสยผมเกาหัวตัวเองหลายที ตอบ “ยังไม่รู้จะมั่นใจอันไหนดีฮะ”
ท่าทางและคำตอบใสซื่อบริสุทธิ์ของผม กลับเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน
“ทำไมโตโต้ผอมจัง กินข้าวไม่เก่งเหรอคะ” นักข่าวอีกคนถาม
“ที่บ้านไม่ค่อยได้กินข้าวฮะ”
นักข่าวหัวเราะชอบใจกันใหญ่ เพราะทุกคนรู้ฐานะครอบครัวผมดี “แล้วที่บ้านกินอะไรกันคะ”
“เนื้อฮะ” ผมทำท่าจะขยายความเพิ่ม แต่กลุ่มนักข่าวเอาแต่หัวเราะเสียงดัง จึงเงียบเสียดีกว่า
“กินเนื้ออะไรบ้างจ้ะ” นักข่าวคนเดิมถาม
“เนื้อทุกอย่างฮะ” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องหัวเราะกันอีก
“แล้วทำไมโตโต้ไม่อ้วนล่ะ”
“ไม่รู้ฮะ”
นี่คือบุคลิกใหม่ของผมเมื่อแรกเริ่มสู่วัยรุ่น พูดตะกุกตะกัก ถามคำตอบคำ และต้องขอบคุณเอกพจน์ที่ขอตัวกับนักข่าวให้ผมได้ไปอาบน้ำแต่งตัว”
แม้จะไม่ชนะตำแหน่งใดเลยตลอดปีการแข่งขัน แต่ผมได้รับโหวตเป็นนักกอล์ฟเยาวชนพัฒนาดีเด่นเสมือนรางวัลปลอบใจ
ผมบอกเอกพจน์ “ปีหน้าขอแก้มือนะ”
**********