๑.๐๕
ผมขึ้นเกรดห้าแล้ว อายุสิบเอ็ด
ผลการเรียนผ่านมาทุกปีจัดอยู่ในเกณฑ์ดีมาก อาจเพราะการเรียนดนตรีช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นก็เป็นได้ แต่แม่ค่อนข้างแปลกใจที่ผมเรียนเก่ง ทั้งที่แทบไม่เคยดูหนังสือนอกเวลาเรียนเลย ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม รู้เพียงว่าทุกวิชาที่คุณครูสอนมันง่ายเหลือเกิน เหมือนเป็นการรื้อฟื้นทบทวนบทเรียนมากกว่า
ที่โรงเรียนมีแม่บ้านประจำสำนักงานคนหนึ่งชื่อดวงเดือนมีสามีชื่อสมัย ทั้งคู่เป็นคนราชบุรีและทำงานที่เดียวกัน แต่นายสมัยทำในตำแหน่งนักการภารโรง ...เขาทั้งสองมีลูกสาวอายุเก้าขวบชื่อปนัดดา ครอบครัวนี้พำนักอาศัยอยู่ในโรงเรียนที่จัดให้
น้องปนัดดาว่ายน้ำเก่งมาก เพราะโรงเรียนมีสระว่ายน้ำให้น้องได้ดำผุดดำว่ายทุกวัน จึงเป็นนักกีฬาว่ายน้ำได้เหรียญทองจากการแข่งกีฬาสีทุกปี
ปนัดดาได้สิทธิพิเศษเรียนที่โรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ โดยเจ้าของโรงเรียนอนุมัติให้ไม่ต้องจ่ายค่าเทอม ตราบที่พ่อแม่เธอยังทำงานให้
ทุกวันหลังอาหารเที่ยง น้องปนัดดาจะไปช่วยแม่ที่ห้องพักคุณครูเพื่อแบ่งเบาภาระแม่ เหตุที่ผมรู้เรื่องนี้เพราะน้องปนัดดาเรียนเกรดสามห้องเดียวกับชาช่า อีกทั้งเราสามคนเคยไปว่ายน้ำกันบ่อย ผมจึงคุ้นเคยและสนิทสนมกับน้องพอสมควร
น้องปนัดดาเป็นเด็กน่ารัก นิสัยร่าเริงช่างฉอเลาะและเรียนเก่ง จึงเป็นที่รักใคร่ของคุณครูทุกคน น้องมีสัญลักษณ์ประจำตัวคือถักเปียสองข้างมาเรียนเสมอ เผยให้เห็นปานสีชมพูรูปหัวใจหลังใบหูขวา ที่ผมอดชำเลืองดูไม่ได้ทุกครั้ง เพราะมันดูแปลก มีเสน่ห์ชวนให้มองยิ่ง!
จู่ ๆ ผมชอบเล่นฟุตบอลขึ้นมาเฉย และขอให้แม่มารับกลับบ้านสายหนึ่งชั่วโมงเพื่อจะได้เตะฟุตบอลกับเพื่อน ๆ
อยู่เกรดห้าแม้พักหลังนี้จะฝันน้อยลง แต่ไม่ใช่คืนนี้ครับ ที่ฝันว่า...
เที่ยงวันนี้มีฝนตกหนักสลับเบา เกิดฟ้าร้องตามด้วยฟ้าแลบเป็นระยะ ๆ
เสียงกริ่งเตือนล่วงหน้าสิบนาทีให้นักเรียนเตรียมตัวเข้าห้องเรียน ผมเห็นน้องปนัดดาวิ่งกลับเข้าห้องเรียนฝ่าฝนพรำ ๆ ท่ามกลางฟ้าแลบฟ้าร้องน่ากลัว จากนั้นไม่นาน เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงเสาธงโรงเรียนดังสนั่น
ผมตาถลนอ้าปากค้าง หลับตาเมื่อเห็นน้องปนัดดาล้มฟุบลงตรงเสาธง ลืมตาขึ้นอีกครั้งเห็นภาพลาง ๆ ชายชราอาภรณ์ขาวยิ้มอ่อนโยนเดินเข้ามาสวมกอดผม
ทุกอย่างในฝันเป็นภาพติดตาที่ตื่นขึ้นมายังจำได้สนิท
มื้อเที่ยงวันนี้ผมกับเพื่อนอีกสี่คนทานด้วยกันเช่นเคย พวกเราหยอกล้อเล่นตามปกติ อ้อ! ลืมบอกไปว่า เพราะผมตัวบอบบาง แขนขาดูลีบเล็กเมื่อเทียบกับความสูง เพื่อนในห้องจึงเรียกผมว่า‘ไอ้แห้ง’ แต่ผมเป็นเด็กคล่องแคล่วและแข็งแรงมากนะครับ
หลังอิ่มอาหารเที่ยง ฝนตกพรำ ๆ พร้อมฟ้าแลบฟ้าร้องดังไม่หยุด พวกเราออกไปเตะฟุตบอลกันไม่ได้ จึงย้ายไปนั่งเฮฮากันต่อที่ระเบียงอาคารชั้นหนึ่ง กระทั่งเสียงกริ่งดังขึ้นเตือนนักเรียนเตรียมตัวเข้าห้องเรียนคาบบ่าย
DEJA VU จากฝันแวบขึ้นมาทันใด ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนมองออกไปกลางสนาม เห็นน้องปนัดดากำลังวิ่งเหยาะ ๆ ฝ่าสายฝน สิ่งเดียวที่ทราบขณะนั้นคือน้องปนัดดากำลังตกอยู่ในภัยอันตราย
มันต้องไม่เกิดขึ้นเหมือนในความฝันสิ! ผมไม่รั้งรอ วิ่งฝ่าสายฝนด้วยความเร็วสุดกำลัง
แม้ตัวผอมเกร็งแต่เพราะเล่นกีฬามาตลอด ผมวิ่งเต็มฝีเท้า ปากตะโกนลั่น “ปนัดดา ...หยุด ...หยุดวิ่ง”
แต่น้องคงไม่ได้ยิน ยังวิ่งเหยาะตรงไปยังเสาธง
พลันที่ถึงตัวน้อง ผมจับมือน้องวิ่งสวนกลับไปยังทิศทางที่น้องวิ่งมา ...นานเท่าไรไม่รู้
เปรี้ยง! ฟ้าผ่าดังสนั่นที่ยอดเสาธง
ด้วยหวังว่า การกระทำนี้จะปกป้องน้องปนัดดาได้จากทุกสิ่ง ผมกระโดดใช้มือสองข้างปิดหูน้องล้มคว่ำลงทั้งคู่ มีผมคร่อมกอดตัวน้องอยู่ข้างบน ริมฝีปากบังเอิญสัมผัสปานหัวใจสีชมพูหลังใบหูขวาของน้องปนัดดา
ทันใด เกิดแสงวูบในสมองด้วยภาพชายหญิงปรากฏในชุดโบราณ พร้อมเสียงฟ้าผ่าสนั่นซ้ำสองซ้ำสามไม่ไกลนัก
ผมไม่ทราบหรอกครับว่าภาพชายหญิงในชุดโบราณเป็นใคร ใจคิดว่าอาจเป็นภาพหลอนจากแสงฟ้าผ่าก็เป็นได้ จากนั้นไม่รับรู้อะไรอีก มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงหวอรถพยาบาลดังแสบแก้วหู พลางหลับตาลงเห็นภาพลาง ๆ ชายชราผมขาวโพลนรัศมีเปล่งทั่วร่าง ยืนยิ้มส่งสายตาอ่อนโยนให้
ผมคงหมดสติไปอีกครั้งเป็นแน่! ตื่นขึ้นพบตัวเองนอนอยู่บนเตียงพยาบาล รับสัมผัสได้ว่ามือแม่กุมมือผมอยู่ สายตาแม่จ้องยิ้มเต็มเปี่ยมด้วยความรัก มีหรือผมจะไม่ยิ้มตอบ ขณะนั้นรู้ว่ารักแม่สุดชีวิตสุดหัวใจ
หมอเกรงอุบัติเหตุนี้ อาจส่งผลกระทบต่อประสาทหูและระบบการได้ยินของผม จึงให้นอนโรงพยาบาลดูอาการหนึ่งคืน
วันรุ่งขึ้น หมอแจ้งว่าอาการผมปกติดี จึงอนุญาตให้กลับบ้านไปเรียนต่อได้
กว่าจะถึงบ้านแต่งตัวเสร็จ แม่ส่งผมถึงโรงเรียนหลังสิบโมงเช้าเข้าไปแล้ว กลับพบสิ่งไม่คาดคิดจากป้ายที่ติดประตูทางเข้าหน้าโรงเรียน ว่า “WELCOME BACK …OUR HERO” และหน้าอาคารอื่น ๆ ว่า “TOTO …THE HERO”
ครูใหญ่เป็นคนอเมริกันเชิญแม่และผมเข้าห้อง ท่านกล่าวชมเชยความกล้าหาญของผมที่ได้ช่วยชีวิตน้องปนัดดา จากนั้นให้ผมกลับเข้าเรียนตามปกติ
พลันที่เปิดประตูห้องเรียน
“โตโต้... โตโต้” เพื่อนในห้องเรียกชื่อผมลั่น พร้อมเสียงปรบมือดังสนั่นห้อง
เช้านี้ เพื่อน ๆ รวบรวมเงินซื้อช็อคโกแลตกล่องใหญ่ให้ผมหนึ่งกล่อง และมีอีกหนึ่งถุงทราบจากคุณครู ว่าน้าดวงเดือนและน้าสมัยพ่อแม่ของน้องปนัดดาฝากมาให้แทนคำขอบคุณ ...ข้างในบรรจุสิ่งของสีเหลืองทองอร่ามดูสะดุดตา
ผมชี้ยังถุงนั้น ถามคุณครูว่า “นั่นอะไรครับ”
“ขนมตาลค่ะ เป็นขนมไทยโบราณ” คุณครูตอบ
เกิดอยากลองลิ้มรสทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุ “ขอชิมได้ไหมครับ”
คุณครูพยักหน้า หยิบให้ผมหนึ่งชิ้นที่สังเกตได้ว่า เป็นขนมเนื้อสีเหลืองทองโรยหน้าด้วยเส้นเนื้อมะพร้าว ก้นรองด้วยใบตองสีเขียวสด ยังอุ่น ๆ เหมือนเพิ่งทำเสร็จหมาด ๆ จึงกัดคำโตเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ใจคิดว่า
“นี่คือขนมอร่อยที่สุดในโลกที่เคยลิ้มรส” ใจอยากหยิบกินอีกชิ้น คุณครูก็ปิดปากถุงเก็บเสียแล้ว
พักเที่ยง ผมหิ้วขนมตาลติดมือออกจากห้องเรียนด้วยยังติดใจในรสชาด กะว่าจะเอาไปทานหลังอาหารกลางวันกับเพื่อน แต่เที่ยงนี้พบน้าสมัยรออยู่หน้าห้อง เขายิ้มทักผม กล่าว
“ไปทานข้าวเที่ยงกันนะโตโต้ แม่ปนัดดากะน้าอยากเลี้ยงขอบคุณน่ะครับ”
แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะ! นอกจากต้องพยักหน้าตอบรับแบบงง ๆ ยื่นขนมตาลให้เพื่อนสนิทสี่คนก่อนเดินไปกับน้าสมัย
บ้านพักน้าสมัยเป็นบ้านขนาดเล็กกะทัดรัด ห้องครัวเปิดโล่งมีเพียงหลังคามุง ตัวบ้านอยู่หลังโรงเรียนที่รั้วไม่สูงนัก ถัดไปเป็นผืนดินเปล่าติดซอยเล็ก ๆ สามารถเดินทะลุยังถนนใหญ่ได้
ใกล้ถึงตัวบ้านก็เห็นน้าดวงเดือนวิ่งจากห้องครัวตรงมา เธอโอบไหล่ผมเมื่อถึงตัว พูด
“โตโต้ แหม... หน้าตาหล่อน่ารัก อยากกอดจัง”
ผมก้มหน้าใช้มือซ้ายเสยผม เงยหน้ายิ้มไม่รู้จะตอบอะไร พลันได้ยินน้าสมัยบอกน้าดวงเดือน
“ไปกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวโตโต้จะกลับไปเรียนไม่ทัน”
สำรับอาหารพร้อมทานวางอยู่บนพื้นห้อง ผมไม่เคยทานบนพื้นมาก่อน และไม่เข้าใจว่าจะทานกันได้อย่างไร ก็เห็นน้าดวงเดือนลงนั่งพับเพียบขณะที่น้าสมัยนั่งขัดตะหมาด ผมจึงเลือกนั่งขัดตะหมาดตามน้าสมัย ด้วยรู้สึกว่าน่าจะสบายกว่าในท่านั้น
กับข้าวมีสามอย่าง ได้แก่ ไข่เจียว น้ำพริกปลาทูและแกงกะทิหน่อไม้น่องไก่ นอกจากไข่เจียวแล้ว ที่เหลืออีกสองอย่างผมไม่เคยทานมาก่อน
“เผ็ดไหม โตโต้” น้าดวงเดือนถามหลังเห็นผมตักแกงหน่อไม้เข้าปากคำแรกเคี้ยวตุ้ย ๆ
“นิดหน่อย แต่อร่อยมากครับ” เป็นประโยคยาวสุดที่พูดกับน้าทั้งสองวันนี้มัง!
“ลองน้ำพริกปลาทูคลุกข้าวสิ รับรองต้องชอบ” น้าสมัยพูดเหมือนรู้ พร้อมตักใส่จานให้ผม
ตักคำแรกเข้าปากเคี้ยว ตาผมลุกโต
“อื้อหือ... อร่อย” จากนั้นไม่พูดไม่จา ตักอาหารสุดอร่อยสองอย่างกินไม่หยุด แทบไม่รู้สึกเผ็ดเลยสักนิด
“โตโต้นี่ยิ่งดูยิ่งเหมือนลูกชายเจ้านายเก่าเนอะ” น้าสมัยพูดกับน้าดวงเดือน “ชอบกินน้ำพริกปลาทูกับแกงหน่อไม้น่องไก่เหมือนกันเปี๊ยบเลย”
“ใช่เลยแหละ โดยเฉพาะท่านั่งขัดตะหมาด” น้าดวงเดือนเสริม
ผมทำเป็นไม่ได้ยิน แสร้งหยิบน้ำขึ้นดื่ม
หลังอิ่ม น้าดวงเดือนก็ยื่นของหวานให้
ผมตาลุกวาวอุทาน “ขนมตาล!” หยิบกัดสองคำหมดและอดไม่ได้ที่ต้องหยิบอีกชิ้น แหงนหน้าขึ้นเห็นน้าดวงเดือนและน้าสมัยอ้าปากค้างมองหน้ากัน
แต่ผมไม่สน คิดอย่างเดียวขณะนั้นว่า “ก็มันอร่อยนี่นา”
เสียงกริ่งเตือนให้นักเรียนเตรียมตัวเข้าเรียนรอบบ่าย น้าสมัยจึงเดินส่งผมกลับห้องเรียน ระหว่างทางเขาพูดเสียงสั่นเครือ
“เห็นหน้าโตโต้แล้วอดคิดถึงลูกชายเจ้านายเก่าไม่ได้เลย ขอบคุณโตโต้มากนะที่ช่วยชีวิตลูกสาวน้า”
ฟังดูเหมือนจะเข้าใจ และรู้ว่าน้าสมัยจงใจพูดให้ผมรับรู้ได้ว่าหมายถึงใครคนนั้น เพราะความจำบางสิ่งกลับคืนมา
อุบัติเหตุฟ้าผ่าเสาธง ทำให้ชีวิตเด็กอายุสิบเอ็ดขวบนับจากนี้ต้องเปลี่ยนฉับพลัน ผมเริ่มไม่รู้จักตัวตนว่าเป็นใครกันแน่ เกิดความกังวลสับสนในภาษาไทย ส่งผลให้พูดจาติดขัดเรื่อยมากับคนแปลกหน้า หรือเพราะผลจากฟ้าผ่า? ผมไม่ทราบครับ!
แต่ผมเริ่มจำทุกความฝันได้แม่น รวมถึงภาพอดีตที่ไม่อยากจำ ...ก็กลับมาให้จำ!
**********