เดจา วู

1504 Words
๑.๐๔ ตอนนี้ผมโตโต้อายุสิบขวบแล้ว ยังผอมแห้งเหมือนเดิมครับ สามปีผ่านไปไม่มีอะไรเปลี่ยนมากมาย ชาช่ากับผมยังเรียนโรงเรียนเดียวกัน เสาร์-อาทิตย์ก็เรียนดนตรีด้วยกันอีก ผมยังเลือกเรียนเปียโน แต่เล่นกีตาร์ที่ได้จากป้าเสาวลักษณ์คล่องแคล่วด้วยตัวเองเร็วมาก จนแม่แทบไม่เชื่อ ผมยังคงรักการเล่นกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ ชอบความท้าทายของเกมส์เมื่อได้ลงเล่น และทุกครั้งเวลาเล่นกอล์ฟผมไม่เคยคิดถึงคู่ต่อสู้เลย ใจมุ่งมั่นจะเอาชนะตัวเองเท่านั้น ตาจะลุกโชนตลอดการเล่นรวมถึงอากัปกิริยาที่มุ่งมั่นเอาชนะในเกม ทำให้บุคลิกท่าทางเปลี่ยนเป็นคนละคนขณะเล่น โค้ชชมว่าผมมีพรสวรรค์เหมือนเกิดมาเพื่อกีฬานี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเมื่อได้รับคำชม คือจะก้มหน้ายิ้มรับโดยใช้มือเสยผมถึงลำคอทุกครั้ง แม่ต้องเปลี่ยนชุดกอล์ฟให้ใหม่ คงเป็นเงินหลายพันบาทอยู่ เพราะต้องสั่งทำตามความสูงที่เพิ่มขึ้น และชุดกอล์ฟใหม่นี้ช่วยพัฒนาฝีมือผมมากขึ้นเช่นกัน วันเสาร์นี้ ผมไปสนามไดร์ฟเช่นปกติแต่วันนี้โปรสอนไม่มา เห็นว่าต้องไปสัมภาษณ์งานที่ต่างจังหวัด แต่ดีหน่อยที่พรุ่งนี้สามารถพาผมไปออกรอบได้ตามนัดที่จังหวัดชลบุรี ทุกวันนี้ แม่และป้าเสาวลักษณ์สนิทกันมาก บ่อยครั้งที่ป้าเสาวลักษณ์และน้องชาช่ามาดูผมซ้อมไดร์ฟกอล์ฟ แต่เสาร์นี้พวกเขามาถึงก่อน ที่น่าแปลกคือเอกพจน์หลานชายป้าเสาวลักษณ์ก็มาด้วย จริง ๆ แล้วผมควรจะเรียกเอกพจน์ว่าพี่เพราะอายุแก่กว่าถึงสิบปี แต่กลับสนิทใจเรียกเขา‘นาย’มากกว่า หรือเพราะเอกพจน์เรียกผมว่า‘ก้าง’ คงหยอกล้อความผอมที่ดูเหมือนก้างปลากระมัง แต่ผมชอบเขามากนะ ผมสวัสดีป้าเสาวลักษณ์ ทักทายชาช่าเป็นภาษาอังกฤษที่เราสองคนคุ้นเคยกันมากกว่า และยกมือให้เอกพจน์ที่เดินมาโอบไหล่ทักผม “ไงก้าง ...ข่าวว่าตีกอล์ฟเก่ง” “นิดหน่อย” ผมตอบปกติตามสไตล์คนพูดน้อย “ป้าชวนพี่เอกมาด้วยเพราะทราบว่าวันนี้โปรไม่มา เลยให้พี่เอกมาสอนแทนจ้ะ” ป้าเสาวลักษณ์แทรกขึ้นก่อนขยายความต่อ “ปีหน้าพี่เอกจบมหาลัยแล้ว เห็นว่าจะสอบเป็น‘โปร’สอนกอล์ฟด้วยนะ” “นายนี่นะ! โปรสอนกอล์ฟ?” ผมทำตาโตเลิกคิ้วสูงถามเอกพจน์ “ทำไมก้าง! ทำไมพี่จะเป็นไม่ได้” “ก็นายยังไม่เคยสอนใครนี่” ผมพูดเหมือนเอกพจน์เป็นเพื่อนวัยเดียวกัน “เคยสอนก้างไง จำไม่ได้เหรอ” เอกพจน์หัวเราะแปลก ๆ ผมงงในคำตอบ แต่ไม่วายหัวเราะตาม “นายอย่าทำให้วงสวิงโต้เพี้ยนล่ะ” “เอางี้... ลองตีก่อน พี่อยากดูวงสวิงก้างว่าเพี้ยนไปหรือเปล่า” “วงเราน่ะไม่เพี้ยนอยู่แล้ว แต่นายน่ะพูดเพี้ยน” ผมคิด แต่ใจจริงผมน่ะอยากตีโชว์อยู่แล้ว จึงหยิบหัวไม้หนึ่งหวดสุดแรงเกิด เห็นลูกกอล์ฟพุ่งตรงไกลประมาณ ๑๗๐ หลา ถือว่าสุดยอดทีเดียวสำหรับเด็กวัยสิบขวบ ผมหันขวับ ฉีกยิ้มกว้างถามเอกพจน์ “เป็นไง พอไหวไหม” “ก้างวงสวิงเดิมเลยนี่ ลองอีกลูกซิ คราวนี้ไม่ต้องหวดแรงเท่าลูกแรก แต่ให้เพิ่มความเร็วตอนดาวสวิงก่อนตีถูกลูกสักสองฟุต รับรองได้ระยะเพิ่มไม่ต่ำกว่ายี่สิบหลาแน่” ผมตีอีกลูก ทำตามที่เอกพจน์บอก ปรากฏว่าลูกวิ่งไปไกลเกือบสองร้อยหลา “VOWWW!” ผมตะโกนลั่น ยกมือข้างหนึ่งกำหมัดแน่นชกลม มองหน้าเอกพจน์สะใจในผลงานตนเอง เหลียวไปมองแม่ เห็นแม่เอามือสองข้างทาบอกไม่รู้ว่าตกใจหรือดีใจกันแน่ และเห็นน้องชาช่าตบมือชอบใจขณะที่ป้าเสาวลักษณ์นั่งอมยิ้ม ผลออกมาดีอย่างนี้ผมไม่สนอะไรอีก ตีลูกแล้วลูกเล่าภายใต้คำแนะนำจากเอกพจน์เป็นระยะ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความมุ่งมั่นตลอดเวลา แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อยเมื่อตีพลาดหรือไม่ได้ดั่งใจ ยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อผลงานออกมาดี และไม่สนใจใครหน้าไหนที่เข้ามาดูหรือเอ่ยปากชม ภายใต้เทคนิคการตีและคำแนะนำใหม่จากเอกพจน์ ผมรู้สึกคุ้นเคยการสอนลักษณะนี้มาก เพียงนึกไม่ออกเท่านั้น! และเป็นเพราะเอกพจน์จริง ๆ ที่ทักษะกอล์ฟผมดีขึ้นผิดหูผิดตา ให้ต้องขอบคุณและขอให้เขาไปออกสนามจริงกับผมพรุ่งนี้ เอกพจน์ตอบตกลงพร้อมแหย่ผมด้วยท่ามวยชกไปมา ผมเต้นฟุตเวิร์คต่อยกลับด้วยท่ามวยที่ไม่รู้ได้มาจากไหน ขณะที่ป้าเสาวลักษณ์ดูไม่แปลกใจเลยสักนิด ได้เวลาชาช่าและผมต้องไปเรียนดนตรีต่อ ผมจูงมือชาช่าระหว่างเดินขึ้นรถ ก็บังเอิญได้ยินป้าเสาวลักษณ์คุยกับแม่ “เห็นอีกบุคลิกไหมคะ” “ค่ะ เพิ่งเห็นครั้งแรก ศรีรัตน์ตกใจหมดเลย ...เหมือนไม่ใช่เขา” ความภูมิใจและความผยองในฝีมือกอล์ฟที่วันนี้ผลซ้อมดีขึ้นมาก ทำให้คืนนี้เก็บไปฝัน หมอกที่สนามกอล์ฟเช้านี้ยังไม่จางหาย อากาศเย็นสบายด้วยลมโชยอ่อน ๆ สร้างบรรยากาศสุนทรียิ่งต่อเกมกอล์ฟ ผมประเดิมหลุมแรกด้วยเบอร์ดี้และหลุมถัดมาได้พาร์ สองหลุมแรกคะแนนลบหนึ่ง ถือว่าสุดยอดทีเดียว ระหว่างเดินขึ้นแท่นหลุมสาม เกิดเสียงแว่วที่หู “เป็นพาร์ห้า ...ช็อตสองอย่าบุก ...ให้วางตัว” แต่ผมเลือกที่จะบุก ผลคือตีตกน้ำ จากนั้นความฝันกระโดดข้ามไปหลุมเท่าไหร่ไม่ทราบ ทราบเพียงว่าเป็นพาร์สามน้ำล้อมรอบกรีน ระยะถึงกรีนคือ ๑๕๐ หลา เสียงแว่วดังก้องหูอีกแล้วว่า “ลมพัดจากขวาไปซ้าย ให้เผื่อเหล็กหนึ่งเบอร์” ผมมองขึ้นฟ้า ตะโกนลั่นใส่ท้องฟ้าเป็นภาษาอังกฤษ “Go Away… Leave Me Alone” ปรากฏว่าตีตกน้ำอีกครั้ง ประกายตาผมลุกโชนด้วยความโกรธสุดระงับ ผมเขวี้ยงไม้กอล์ฟสุดแรงเกิด หมุนเคว้งคว้างกลางอากาศก่อนตกจมหายไปในน้ำ พร้อม ๆ กับชายชราผมขาวโพลนในอาภรณ์ขาวที่ค่อยจมดิ่งลง ๆ ตื่นขึ้นมาพยายามลืมฝันนี้ แต่ทำไม่ได้ครับ! วันรุ่งขึ้น เอกพจน์มาถึงบ้านผมตั้งแต่ตีสี่ดื่มกาแฟคุยกับแม่ จากนั้นโปรมารับตีสี่ครึ่ง ครั้งนี้แม่ไม่ไปด้วยเพราะเห็นเอกพจน์ไปเป็นเพื่อนแล้ว เอกพจน์นั่งหน้ารถ คุยกับโปรเรื่องกอล์ฟตลอดการเดินทาง ส่วนผมไม่สนใจฟัง มัวคิดทบทวนวงสวิงและเทคนิคต่าง ๆ รวมฝันไกลไปว่า สักวันจะเป็นนักกอล์ฟอาชีพมีชื่อเสียงระดับโลก ตะวันเพิ่งเริ่มส่อง อากาศจึงขมุกขมัว กลิ่นยังสดชื่นด้วยหมอกยามเช้าปกคลุมทั่วสนาม ...พวกเราออกเป็นก๊วนแรก เริ่มเล่นหลุมแรกเป็นพาร์สี่ ผมทีออฟได้ไกลมาก ใจจดจ่ออยู่กับเกมโดยไม่สนใจใครอื่น เดินดุ่ย ๆ ตีช็อตสอง ลูกตกกรีนใกล้ธงอย่างสวยงาม หลุมแรกก็ได้เบอร์ดี้แล้ว ใจคึกคะนองหมายจะทำให้ดีตลอดเกม ขึ้นหลุมสามพาร์ห้า ผมยังคงทีออฟได้ไกล ช็อตต่อไปต้องวางแผนว่าจะตีข้ามน้ำหรือวางตัว ผมเลือกสู้ แต่เพราะเกิดลมแรงขึ้นทันใด ลูกลอยสวนกระแสลมทำให้ไม่ได้ระยะเท่าที่ควร ผลลัพธ์คือลูกไหลกลิ้งตกน้ำ ผมเริ่มหงุดหงิดเล่นไม่ได้ดั่งใจตลอดจากนั้น โดยเฉพาะหลุมสิบเจ็ดอันถือเป็นหลุม signature ของสนามภูเขียวที่กรีนมีน้ำล้อมรอบ เกิดความคิดแว้บขึ้นมาชั่วขณะ เหมือนเคยตีหลุมนี้มาก่อน จึงหมายมั่นจะเอาเบอร์ดี้จากหลุมนี้ให้ได้ แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้าง เกิดลมหวนหอบลูกไปทางซ้าย ...ตกน้ำอีกแล้ว “DAME IT! (ระยำ!)” ผมสบถครั้งแรกในชีวิตซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นกับเด็กวัยสิบขวบ ใจฉุกคิดหลายสิ่งช่างละม้ายคล้ายความฝันเมื่อคืนเสียจริง ผมจบหลุมสุดท้ายด้วยเบอร์ดี้ แม้คะแนนรวมจะออกมาแย่มาก แต่ใจกลับมีความสุขกับเกมกอล์ฟมากกว่า ส่วนกอล์ฟในความฝันเมื่อคืนนั้น ผมยังเด็กเกินจะจดจ่อกับฝันที่เป็นเสมือนภาพลวงตา แต่บางเหตุการณ์เหมือนในความฝันจัง โดยเฉพาะที่หลุมสิบเจ็ด ทำให้จิตยิ่งสับสน จากวันนั้น มีอีกหลายภาพในฝันที่กลับมาหลอกหลอน ...แต่ผมไม่ต้องการรับรู้ใดๆ เพราะชีวิตผมมีความสุขดีอยู่แล้วนี่! **********
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD