ภีมพิมลเหลือบมองใบหน้าคมที่ยังคงนิ่งสงบ แต่เส้นกรามกลับตึงอยู่ตลอดทาง ส่วนลูกชายของพวกเขาก็ยังคุยไม่หยุด
“คุณพ่อครับ วันนี้ผมช่วยคุณปู่จัดสวนด้วย คุณแม่ก็มาช่วยกันครับ”
“อืม” เขาตอบสั้นเช่นเคย
เงียบไปครู่หนึ่ง ภีมพิมลจึงพูดเบาๆ
“ขอบคุณนะคะที่ให้ฉันใช้เวลาทั้งวันกับลูก”
เธียรทรรศน์ปรายตามามองเพียงเสี้ยววินาที
“ฉันไม่ได้ทำเพื่อ...” เขาหยุดเมื่อเห็นแววตาของลูกที่มองมา จึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่
“ฉันแค่ไม่อยากให้เค้ารู้สึกว่าแม่ไม่สนใจ”
คำพูดนั้นบาดลึกเหมือนคมมีด แต่ภีมพิมลไม่ตอบโต้ เธอเพียงก้มหน้ารับเงียบๆ เพราะรู้ว่าการเถียงในเวลานี้จะทำให้บรรยากาศแย่ลง
ตลอดทางกลับบ้าน เสียงเครื่องยนต์และลมจากแอร์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในรถเพราะลูกชายเผลอหลับไปแล้ว แสงไฟจากเสาไฟข้างถนนทอดยาวเป็นเส้นสลับสว่างกับเงามืด จนในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนหน้าบ้านของเขา
เมื่อจอดรถสนิท เธียรทรรศน์ดับเครื่องแล้วหันไปพูดกับลูกที่ลืมตาตื่นได้ครู่หนึ่งแล้ว
“เดี๋ยวเราไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วเข้านอนกันนะครับ”
“ครับคุณพ่อ”
น้องธรณ์ตอบอย่างว่าง่าย ก่อนจะรอให้บิดามาพาลงจากรถ
ภีมพิมลกำลังจะลงตาม แต่เสียงทุ้มของเขาก็ดังขึ้นในตอนที่เห็นลูกเข้าไปในบ้านแล้ว
“เธอ...ระวังตัวเองไว้ด้วย”
“หมายความว่ายังไงคะ” เธอชะงัก มือจับประตูแน่น
“ฉันยังไม่ลืมว่าเธอเคยทำอะไรเอาไว้กับลูก” เขามองตรงมาด้วยแววตาที่อ่านยาก
“อย่าทำให้ฉันรู้สึกเสียดายเวลาที่ให้โอกาสเธอ”
ภีมพิมลไม่ตอบ เธอเพียงก้าวลงจากรถแล้วเดินตามลูกชายเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ความเย็นของค่ำคืนนี้ซึมผ่านผิว แต่เย็นไม่เท่าแววตาของผู้ชายคนนั้น
แสงไฟในห้องนอนสว่างเพียงสลัวจากโคมตั้งโต๊ะ ภีมพิมลเพิ่งวางหนังสือที่อ่านค้างไว้แล้วเอนตัวลงบนเตียง เสียงลมแผ่วผ่านผ้าม่านบางๆ ทำให้บรรยากาศยามดึกเงียบสงัดจนเธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เธอชะงัก หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ เธอลุกจากเตียงก่อนจะเดินไปบิดลูกบิดประตูช้าๆ
และเมื่อบานประตูเปิดออก…เธอเห็นเธียรทรรศน์ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าคมเข้มที่มักสงบนิ่งบัดนี้แฝงแววเข้มข้นจนบรรยากาศรอบตัวเหมือนถูกบีบให้แคบลง
“มีอะไรรึเปล่าคะ” เธอถามเบาๆ พยายามไม่ให้เสียงสั่น
เขาก้าวเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต ร่างสูงปิดประตูด้านหลังอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะหันมาสบตาเธอตรงๆ
“ฉันมีเรื่องต้องย้ำให้เธอฟังอีกครั้ง” น้ำเสียงเขาเย็นแต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน
“ต่อให้ครอบครัวฉันจะชอบเธอแค่ไหน…ฉันก็ไม่มีวันไว้ใจคนที่ทิ้งลูกไปถึงสี่ปี”
คำพูดนั้นเหมือนมีดกรีดกลางอก ภีมพิมลเม้มปากแล้วเอ่ยตอบ
“ฉันรู้แล้วค่ะ ไม่ต้องย้ำมากนักก็ได้”
“ไม่ เธอต้องจำให้ขึ้นใจ” เขาก้าวเข้ามาใกล้ทีละน้อย จนเธอต้องถอยหลังไปชนขอบเตียง
“จากนี้ไป…ฉันจะจับตาดูเธอทุกฝีก้าว”
“คุณนี่มัน…ตัดสินคนจากอดีต แล้วไม่ยอมฟังอะไรเลย”
เธอพยายามจะเถียงแต่เสียงดันสั่นเพราะทั้งโกรธทั้งอึดอัด
“เพราะอดีตมันพิสูจน์แล้วว่าเธอทำอะไรได้บ้าง” เขาตอบทันควัน ดวงตาคมกริบไล่มองเธอราวกับกำลังอ่านทุกความคิด
“อย่าคิดว่าทำดีกับลูกสองวันแล้วฉันจะลืมสิ่งที่เธอทำ”
“แล้วคุณล่ะ ทำไมต้องมายุ่งกับฉันขนาดนี้ ถ้าคุณไม่ไว้ใจฉัน ทำไมไม่ไล่ฉันออกไปเลย จะยอมให้ฉันอยู่ที่นี่ด้วยทำไมกัน” เธอเงยหน้าสบตาอย่างคนที่อยากจะลองดีดูสักครั้ง
ดวงตาของเขาวาววับขึ้นชั่ววินาที ริมฝีปากกระตุกเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความท้าทายยิ่งกว่า
“เพราะฉันไม่ชอบปล่อยให้หมาป่ามาเดินเพ่นพ่านในรังโดยไม่คุมสายจูง”
ยังไม่ทันที่เธอจะสวนกลับ เขาก็โน้มตัวลงมา ร่างสูงบดบังลมหายใจ ก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะกดลงมาที่ริมฝีปากของเธออย่างฉับพลัน
เธอดิ้น ขืนตัว มือดันอกเขาเต็มแรง แต่กลับยิ่งถูกวงแขนแข็งแรงรัดแน่น กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ผสมกับไออุ่นจากตัวเขาทำให้สติเริ่มสั่นไหว
เมื่อเขาผละออก ริมฝีปากเธอชุ่มชื้นและร้อนผ่าวจากแรงจูบ ดวงตาคมคู่นั้นยังจับจ้องเธอไม่วาง
“จำไว้ ภีมพิมล” เสียงเขาแผ่วต่ำแต่หนักแน่น
“ผู้หญิงอย่างเธอ…ถ้าคิดอยากเป็นมากกว่าแม่ของลูก ก็จะเป็นได้แค่เมียลับของฉันเท่านั้น”
หัวใจเธอเต้นกระหน่ำ ทั้งโกรธทั้งอับอาย แต่ในความโกรธนั้น กลับซ่อนความสั่นไหวที่เธอไม่อยากยอมรับแม้แต่กับตัวเอง…
เช้าวันรุ่งขึ้น
แสงแดดยามเช้าสาดลอดผ่านผ้าม่านบังแสงเข้าสู่ห้องครัวที่เงียบสงบ ภีมพิมลตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี เพื่อทำอาหารเช้าให้ลูกชายตามที่เคยตั้งใจไว้ว่าเธอจะเป็นคนทำให้เขากินเองทุกวัน
เธอยืนหั่นต้นหอมอย่างใจลอย เสียงจังหวะมีดกระทบเขียงเหมือนจะกลบภาพเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้ ใบหน้าเขาที่ใกล้จนลมหายใจผสมกัน เสียงทุ้มต่ำที่ย้ำชัดถึงสถานะของเธอ มันยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด
“คุณแม่ครับ” เสียงเล็กใสของน้องธรณ์ดังมาจากประตูห้องครัว เด็กชายวิ่งมาหาโผเข้ากอดขาเธอด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้ทำอะไรให้ผมกินครับ”
“ข้าวผัดกุ้งจ้ะ” เธอฝืนยิ้มให้ลูกแล้วก้มลงลูบศีรษะ
“ไปล้างมือนะครับ เดี๋ยวแม่จะยกไปที่โต๊ะให้”
“ได้ครับ” หนุ่มน้อยวิ่งออกไปจากห้องครัว
ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากด้านหลังไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร