วาสิตาวางจานผลไม้ลงบนโต๊ะกลางแล้วหันมามองทุกคน
“แม่ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่แม่ดูออกว่าหนูแบมเป็นคนใจแข็งกว่าที่คิด อ่อนโยนกับเด็กแต่ไม่อ่อนแอ…แบบนี้เหมาะจะอยู่ข้างตาเธียร”
ภีมพิมลได้แต่นั่งฟังเงียบๆ แก้มร้อนผ่าวอย่างไม่รู้ตัว เพราะทุกคำพูดจากคนในครอบครัวนี้ฟังแล้วเต็มไปด้วยความหวังดี และ…ความคาดหวังที่เธอไม่แน่ใจว่าจะรับไหวหรือเปล่า
“ถ้าแม่หมายถึงว่าให้แบมมาอยู่ดูแลตาธรณ์ในฐานะแม่เป็นเรื่องเหมาะสม…ผมก็เห็นด้วยนะครับ” ธนบดียักไหล่ก่อนจะพูดต่อ
“อย่างน้อยพี่เธียรก็คงสบายใจมากขึ้น”
ธรรศกรมองหน้าภรรยาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“พ่อก็ว่าดี…แต่ต้องดูด้วยว่าหนูแบมอยากอยู่กับลูกชายพ่อไปนานแค่ไหน”
วาสิตามองภีมพิมลด้วยสายตาอบอุ่น
“ถ้าหนูแบมไม่รังเกียจ บ้านนี้ยินดีต้อนรับเสมอนะจ๊ะ”
ภีมพิมลเม้มปาก ยกมือไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณมากค่ะ...คุณพ่อคุณแม่”
เธอไม่รู้สึกเก้อเขินในคำว่าคุณพ่อคุณแม่ที่เรียกไป เพราะพวกท่านทั้งสองเหมาะสมที่ใครๆ จะเรียกอย่างนั้น และในตอนนี้หัวใจของเธอก็เริ่มมีบางอย่างที่อุ่นขึ้นอย่างช้าๆ
เกือบสองทุ่ม เสียงรถของเธียรทรรศน์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวเข้ามาในบ้านแล้วมุ่งหน้ามาที่ห้องนั่งเล่นซึ่งทุกคนรวมตัวอยู่ในนั้น
“อ้าวตาเธียรมาแล้วเหรอลูก กินอะไรมาหรือยังจ๊ะ มีต้มยำกุ้งฝีมือหนูแบมเหลืออยู่นะ เดี๋ยวแม่ให้คนตักมาให้” วาสิตาเอ่ยทักทายและถามอย่างห่วงใยตามประสาคนเป็นแม่
“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ ผมกินจากข้างนอกมาแล้วล่ะ ไปครับน้องธรณ์ เก็บของ กลับบ้านเราได้แล้วครับ”
“แต่ผมยังอยากเล่นกับคุณย่าอยู่เลย...” น้องธรณ์อิดออด
“ไว้วันหลังค่อยมาใหม่นะครับคนเก่ง แบมไปเก็บของเล่นลูกให้เรียบร้อยนะ” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเสมอเมื่อคุยกับลูกชาย แต่กลับกระด้างอย่างชัดเจนเมื่อเป็นเธอ
“แบมเก็บรอไว้แล้วค่ะ งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะคุณพ่อคุณแม่ พี่ธีมพี่ธัน ขอบคุณมากนะคะที่ให้การต้อนรับหนูอย่างดี ไว้มีโอกาสหนูจะมาทำอาหารให้ทุกคนได้ชิมอีกนะคะ” ภีมพิมลยกมือไหว้ลาพ่อแม่และน้องชายฝาแฝดของเขา
วาสิตาจับมือเธอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“แล้วแวะมาบ่อยๆ นะลูก แม่จะรอ”
“ค่ะคุณแม่ น้องธรณ์สวัสดีทุกคนสิครับ” เธอแตะแขนลูกชาย
“ผมไปนะครับคุณปู่คุณย่า อาธีมอาธัน สวัสดีครับ”
เมื่อร่ำลากันแล้วพวกเขาก็ก้าวออกไปจากห้องนั่งเล่น เธียรทรรศน์เปิดประตูรถให้ลูกก่อนจะเหลือบมามองเธอแวบหนึ่ง สีหน้าเขานิ่งเรียบ แต่แววตาเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่อยากพูดแต่ไม่ยอมพูดออกมา แล้วเขาก็ปิดประตูขับรถออกจากบ้านท่ามกลางความเงียบงันที่เหลืออยู่ในใจของภีมพิมล
เสียงเครื่องยนต์ค่อยๆ จางหายไปตามถนนหน้าบ้าน เหลือไว้เพียงความเงียบสงบยามค่ำและกลิ่นหอมจางๆ ของดอกลีลาวดีที่ปลิวมาตามลม วาสิตายืนมองตามจนแสงไฟท้ายรถเลือนหาย ก่อนจะหันกลับเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ
“แม่…ว่าแบมเป็นยังไงบ้างครับ” ธนบดีเป็นคนถามขึ้นก่อน นั่งเอนตัวบนโซฟา ข้างๆ มีจานทาร์ตผลไม้ที่เหลือครึ่งชิ้น
วาสิตายิ้มอย่างพอใจก่อนตอบ
“ก็ดูน่ารัก เรียบร้อย อ่อนน้อม แล้วก็ทำอาหารเก่ง”
ธรรศกรหัวเราะเบาๆ พลางจิบชาร้อนก่อนพูดขึ้นบ้าง
“ตั้งแต่เลี้ยงหลานมา พ่อไม่เคยเห็นหลานจะเปิดใจกับพี่เลี้ยงคนไหนได้แบบนี้ จะว่าเป็นเพราะหนูแบมเป็นแม่ก็อาจจะไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะด้วยนิสัยตาธรณ์แล้ว เค้าน่าจะโกรธด้วยซ้ำที่แม่ทิ้งมาตลอด แต่ตอนนี้กลับทำตัวติดหนึบ แม่ทำอะไรให้กินก็ชมตลอด ขี้อ้อนผิดหูผิดตามาก”
“ผมว่าพี่เธียรไม่ค่อยให้คนเข้าใกล้ลูกง่ายๆ นะ แต่ดูสิ วันนี้กลับยอมให้แบมอยู่กับตาธรณ์ทั้งวัน ทั้งที่พูดปาวๆ ว่าไม่ไว้ใจเธออยู่เมื่อวานนี้เอง แถมยังอยากให้เราคอยช่วยจับผิดอีก” ธนาทิปซึ่งปกติไม่ค่อยพูดเสริมเสียงเรียบ
“ใช่ แล้วเห็นพี่เธียรพามาส่งเองด้วย ปกติถ้าเป็นคนอื่น เค้าคงแค่ให้คนขับรถมารับส่ง ไม่จำเป็นต้องมาเองเลย” ธนบดีหันไปพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“ไม่รู้สิ แม่มองแล้ว…สองคนนี้เหมือนกันในหลายอย่าง ทั้งสีหน้าเวลาเงียบ ทั้งสายตาเวลามองตาธรณ์” วาสิตาหัวเราะเบาๆ
“แล้ววาหมายความว่ายังไง” ธรรศกรมองหน้าภรรยา
“ก็หมายความว่า…หนูแบมเหมาะกับเธียรไงคะ” วาสิตาพูดตรงๆ เสียงอบอุ่นแต่จริงจัง
“ตาเธียรเค้าอาจจะดูเย็นชา แต่เวลาอยู่ใกล้หนูแบม เค้าไม่เหมือนเดิมนะคะ”
“แม่เริ่มคิดแผนอะไรอยู่หรือเปล่าครับเนี่ย” ธนบดีหัวเราะเบาๆ
“ไม่ได้คิดแผนอะไร แค่อยากให้ลูกแม่มีความสุขเท่านั้นเองจ้ะ” วาสิตาตอบพลางเก็บจานจากโต๊ะ
“แล้วแม่ก็ชอบผู้หญิงแบบหนูแบม…อ่อนหวาน อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ”
“บางที พี่เธียรอาจจะต้องมีใครสักคนที่ทำให้เขาอยากเปิดใจ”
ธนาทิปเอ่ยขึ้นลอยๆ
ห้องนั่งเล่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ทุกคนจะถอนหายใจเหมือนคิดอะไรคล้ายกัน...
เธียรทรรศน์กับภีมพิมลอาจจะเป็นคำตอบของกันและกัน...เพียงแต่พวกเขายังไม่รู้ตัว
“วันนี้คุณแม่ทำต้มยำกุ้งอร่อยมากเลยนะครับ”
เสียงใสของน้องธรณ์ดังขึ้นจากเบาะหน้าแล้วเอ่ยต่อ
“คุณปู่คุณย่ากับคุณอาก็บอกว่าอร่อย”
เธียรทรรศน์ขับต่อไปโดยไม่ได้พูดทันที มือจับพวงมาลัยแน่นเล็กน้อย ราวกับกำลังคิดว่าจะพูดอะไรออกมา สุดท้ายเอ่ยสั้นๆ ว่า
“งั้นก็ดี”