“คุณพ่อครับ”
“ครับ มีอะไรเหรอลูก”
เขาปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วเดินเข้าไปหาลูกชาย
“ผม...เรียกเค้าว่าคุณแม่ได้มั้ยครับ”
“ถ้าลูกอยากเรียกก็เรียกได้ครับพ่อไม่ว่าหรอก เพราะยังไงเค้าก็คือแม่ของน้องธรณ์จริงๆ”
“แล้วผมนอนกับคุณแม่บ้างได้มั้ยครับ คุณแม่จะอยากนอนกับผมรึเปล่า”
“ลูกอยากนอนกับเค้าเหรอครับ แล้วพ่อล่ะ ไม่อยากนอนกับพ่อแล้วเหรอ”
“อยากสิครับ ผม...อยากให้เราสามคนนอนด้วยกัน คุณพ่อให้คุณแม่มานอนกับเราได้มั้ยครับ”
“ได้ครับ แต่ไม่ใช่วันนี้นะ ขอเวลาพ่ออีกสักอาทิตย์นึงละกันนะครับ ลูกรอก่อนได้รึเปล่าครับ”
“ก็ได้ครับ ผมจะรอ คุณพ่อสัญญานะครับ”
“ครับ พ่อสัญญา งั้นตอนนี้เราขึ้นไปอาบน้ำนอนด้วยกันตามประสาพ่อลูกก่อนนะครับ พ่อเองก็ชักจะง่วงแล้วสิ สงสัยกินข้าวเยอะเกินไปหน่อย”
“จริงด้วย วันนี้คุณพ่อเติมข้าวด้วย เพราะคุณแม่ทำอาหารอร่อยใช่มั้ยครับ”
“ก็...คงใช่มั้งครับ”
“คุณแม่ของผมสวยแล้วก็ทำอาหารอร่อย แบบนี้คุณพ่อต้องรักคุณแม่มากเลยใช่มั้ยครับ”
“รักงั้นเหรอ? ลูกไปฟังมาจากไหนครับเนี่ย”
“ก็ผมเคยได้ยินคุณปู่ชมคุณย่านี่ครับ คุณปู่บอกว่าคุณย่าสวยแล้วก็ทำอาหารอร่อย คุณปู่ก็เลยรักคุณย่ามากเลย”
“นั่นคุณปู่ครับ สำหรับพ่อน่ะ...การจะรักใครสักคนมันมีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะ”
“หมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ”
“ลูกยังเด็ก ไม่เข้าใจก็ไม่แปลกหรอกครับ ไปเถอะ ไปอาบน้ำนอนกันดีกว่านะ พรุ่งนี้จะได้ไปบ้านคุณย่ากัน”
“ครับ” หนุ่มน้อยพยักหน้ารับ ก่อนจะปล่อยให้บิดาจูงมือเขาให้ขึ้นไปชั้นบน
เช้าวันใหม่
หลังจากเตรียมอาหารให้ลูกชายแล้ว ภีมพิมลก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับเดินทางไปยังบ้านบิดามารดาของเขา แม้จะยังไม่รู้ว่าเธอต้องเจอกับอะไรที่นั่นบ้างเพราะเขาคงจะเล่าให้ทุกคนฟังหมดแล้วว่าเธอมาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร
แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับกับทุกคำพูดที่อาจจะเต็มไปด้วยการดูถูกดูแคลนหรือดูหมิ่นเหยียดหยาม เพราะในสายตาของทุกคนเธอก็คือแม่ใจมารที่กล้าเอาลูกมาทิ้งไว้ให้คนเป็นพ่อเลี้ยงดูตามลำพัง
หญิงสาวเลือกชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนดูทะมัดทะแมง เพราะเธอไม่ถนัดสวมชุดเดรสกระโปรงมากนัก และไม่ค่อยมีชุดแบบนั้นด้วย แต่ก็คิดว่าชุดนี้คงไม่น่าเกลียดอะไร ผมยาวที่สยายถึงกลางหลังเธอก็มัดรวมเป็นหางม้าเอาไว้ไม่ให้ดูรุงรัง ก่อนจะแต่งหน้าบางๆ ตามประสาคนที่ไม่ได้แต่งหน้าเก่งมากมาย แค่ไม่ให้หน้าตามันซีดเซียวมากไปเท่านั้น แต่ถึงเธอจะแต่งแค่นี้มันก็ไม่ได้ทำให้ความสวยโดยธรรมชาติลดน้อยลงไปเลย ตรงกันข้ามมันยิ่งทำให้เธอดูอ่อนกว่าวัยด้วยซ้ำไป
เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย เธอก็ไปจัดโต๊ะอาหารรอลูกชาย ไม่นานสองพ่อลูกก็จูงมือกันลงมาจากชั้นบน เธอจึงได้หันไปส่งยิ้มหวานให้ลูกแล้วก็เผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นไปให้พ่อของลูกด้วย
“อรุณสวัสดิ์ครับน้องธรณ์ วันนี้แม่ทำโจ๊กหมูเด้งกับไข่ต้มยางมะตูมให้ด้วยนะ ส่วนของคุณก็กินเหมือนลูกนะคะ เห็นว่ามื้อเช้าคุณไม่ได้กินอะไรมากนัก แบมเลยไม่ได้ทำอย่างอื่นเพิ่มค่ะ”
“แล้วของเธอล่ะ”
“เดี๋ยวแบมไปกินในครัวค่ะ กินโจ๊กเหมือนกัน”
“ไม่ต้องไปกินในครัวให้เสียเวลาหรอก เธอจะให้พวกเรารอเธอกินข้าวเสร็จก่อนหรือไง ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นหรอกนะ”
“งั้น...ไม่เป็นไรค่ะ แบมไม่กินก็ได้”
“ฉันหมายถึงให้เธอไปตักมากินด้วยกันที่โต๊ะนี่ ไม่ใช่ว่าไม่ให้กิน” เขาบอกก่อนจะอุ้มลูกชายมานั่งบนเก้าอี้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงบ้าง
“คะ? คุณ...ให้แบมกินอาหารร่วมโต๊ะด้วยเหรอคะ”
“ฉันยังพูดไม่ชัดเจนพออีกหรือไงล่ะ”
“เอ่อ...ชัดค่ะ ชัดแล้ว งั้นเดี๋ยวแม่มานะครับน้องธรณ์”
หญิงสาวรีบเดินไปทางห้องครัว ไม่คิดจะใช้ให้สาวใช้คนอื่นไปตักอาหารมาให้ เพราะเธอชอบทำอะไรด้วยตัวเองอยู่แล้ว และไม่คิดว่าเธอจะอยู่ในสถานะที่จะสั่งใครได้ด้วย
ไม่นานภีมพิมลก็กลับมาพร้อมกับโจ๊กอีกชามหนึ่ง เธอเลือกที่จะนั่งข้างลูกชายเพื่อจะได้ดูแลเขาได้ด้วย
พวกเขานั่งกินโจ๊กไปโดยไม่ได้พูดอะไรกัน กระทั่งเห็นว่าลูกชายกินโจ๊กหมดชามเธอจึงได้ถามขึ้น
“อิ่มมั้ยครับ ถ้าไม่อิ่มแบ่งของแม่ไปกินอีกก็ได้นะคะ”
“อิ่มแล้วครับ โจ๊กของคุณแม่อร่อยมากเลย”
“จริงเหรอจ๊ะ แม่ดีใจนะที่ลูกชอบ...เอ๊ะ...เมื่อกี้ลูกเรียกแม่ว่าอะไรนะจ๊ะ”
“คุณแม่ครับ ผมเรียกว่าคุณแม่ได้มั้ยครับ”
ขอบตาของเธอร้อนผ่าวเมื่อได้ยินลูกเรียกว่าแม่อย่างชัดถ้อยชัดคำ เพราะไม่คิดเลยว่าเขาจะยอมเรียกเธอได้ไวกว่าที่คิด ยังแอบกลัวว่าลูกจะไม่ยอมเรียกเธอว่าแม่ด้วยซ้ำไป
“ได้ครับ ลูกเรียกแม่ได้ตลอดเลยนะ ขอบคุณนะที่ยอมให้แม่เป็นแม่ของน้องธรณ์ แม่รักลูกนะครับ รักมากกว่าอะไรทั้งนั้น”
เธอขยับเข้าไปกอดลูกแล้วน้ำตาไหลพรากอย่างไม่อาจกลั้นได้ ในขณะที่คนเป็นพ่อก็เฝ้าสังเกตในสิ่งที่เธอแสดงออกตลอดเวลา
มันก็ดูเป็นความรักที่ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำอยู่หรอก แต่ยังไงเขาก็ยังไม่อยากไว้ใจเธอง่ายๆ อยู่ดี
“เอาล่ะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวลูกก็ตกใจกันพอดี”
เขาพูดขัดขึ้น