วันต่อมา
หลังจากที่ตกลงใจจะมาอยู่ที่บ้านของเขาในฐานะคนรับใช้ เขาจึงให้เวลาเธอมาเก็บเสื้อผ้าเพื่อย้ายไปอยู่ที่บ้านของเขาหนึ่งคืน และวันนี้เธอก็นำกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่มากับรถแท็กซี่ด้วย
“เชิญค่ะ ห้องนี้คุณท่านให้เราเตรียมไว้ให้คุณ”
สาวใช้เดินนำเธอมาจนถึงห้องนอนห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างของบ้านซึ่งบ้านหลังนี้มีทั้งหมดสามชั้น
“ขอบคุณค่ะ แล้วตอนนี้ลูกของ...เอ่อ...คุณหนูอยู่ที่บ้านรึเปล่าคะ”
“ไม่อยู่ค่ะ คุณเธียรพาคุณหนูไปบ้านของคุณท่านกับคุณผู้หญิงค่ะ”
“คุณท่านกับคุณผู้หญิงคือใครเหรอคะ”
“คุณพ่อคุณแม่ของคุณเธียรน่ะค่ะ”
“อ๋อค่ะ แล้วเค้าได้สั่งไว้มั้ยคะว่าให้ฉันมีหน้าที่ทำอะไรบ้างในบ้านหลังนี้”
“ไม่ได้สั่งค่ะ ท่านบอกแค่ว่าถ้าคุณมาแล้วก็ให้รออยู่แต่ในห้อง ห้ามออกไปไหน ถ้าท่านกลับมาแล้วท่านจะเรียกไปพบเองค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ แล้วห้องนี้เป็นห้องของสาวใช้ใช่มั้ยคะ”
“ไม่ใช่ค่ะ ปกติห้องนี้เราจะเตรียมเอาไว้สำหรับรับแขกค่ะ เรือนนอนสาวใช้จะอยู่ด้านหลังค่ะ”
“แล้วในบ้านนี้มีใครอยู่อีกมั้ยคะนอกจากคุณหมอกับคุณหนู”
“ไม่มีค่ะ ท่านอยู่กับคุณหนูแค่สองคน จะมีแค่น้องๆ หรือไม่ก็คุณท่านกับคุณผู้หญิงเท่านั้นที่เคยมาพักเป็นครั้งคราวค่ะ”
“อ๋อค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ถ้าขาดเหลือหรือต้องการอะไรก็เรียกได้นะคะ คุณเธียรบอกให้ฉันเป็นคนคอยดูแลคุณอีกทีค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ แล้วคุณชื่ออะไรเหรอคะ”
“ชื่อแจ่มค่ะ”
“งั้นฉันขออนุญาตเรียกว่าแจ่มนะคะ คุณก็เรียกฉันว่าแบมก็ได้ค่ะ”
“ค่ะคุณแบม เชิญตามสบายนะคะ อ้อ...ไม่ทราบว่าคุณกินมื้อเช้ามาหรือยังคะ ถ้ายังแจ่มจะยกอาหารมาให้ค่ะ”
“ฉันกินมาแล้วจ้ะ ขอบใจมากนะ”
“ค่ะ ถ้าคุณหิวก็ออกไปหาอะไรกินในครัวได้นะคะ เผื่อแจ่มไม่อยู่แถวนี้ หรือจะเรียกสาวใช้คนอื่นก็ได้ค่ะ ทุกคนรู้แล้วว่าคุณจะมาอยู่ที่นี่กับพวกเราในฐานะคุณแม่ของคุณหนูและผู้ช่วยส่วนตัวของคุณเธียร”
ผู้ช่วยส่วนตัว? แหม เขาก็ช่างมีน้ำใจหาตำแหน่งที่ใช้แทนคำว่าสาวใช้ส่วนตัวได้ดีจริงนะ
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ แต่ฉันคงไม่รบกวนอะไรมากค่ะ”
“งั้นแจ่มขอตัวนะคะ เชิญตามสบายค่ะ”
“ค่ะ”
ภีมพิมลลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองเข้าไปในห้องซึ่งมีขนาดกว้างขวาง มีทั้งเตียงขนาดหกฟุต ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ พัดลมติดผนัง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือและยังมีห้องน้ำในตัวอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นห้องที่ดีกว่าที่เธอคิดไว้มากทีเดียว
“คุณหมอหน้าดุก็เหมือนจะใจดีเหมือนกันนะเนี่ย”
เธอพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะนำเสื้อผ้าไปเก็บในตู้จนเรียบร้อย จากนั้นก็ออกไปเดินสำรวจให้ทั่วบ้าน ซึ่งเมื่อเจอกับพวกสาวใช้ทุกคนก็ทำความเคารพเธออย่างดี
คฤหาสน์นิธิพลวัฒน์
นายแพทย์ ธรรศกร ธัญญาวัฒนา อดีตสูตินรีแพทย์ชื่อดังและประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลในเครือธัญญาเวชวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะหลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกชายบอกให้ฟังจบแล้ว
ส่วนตอนนี้หลานชายของเขาก็กำลังเล่นกับคุณอาฝาแฝดอยู่ที่สนามหญ้าหน้าคฤหาสน์หลังนี้ ซึ่งเป็นมรดกอีกชิ้นที่ วาสิตา ภรรยาของเขาได้รับมาจากบิดาของเธอหลังจากที่ท่านเสียไปเมื่อหลายสิบปีก่อน
ตระกูลนิธิพลวัฒน์ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ และตอนนี้วาสิตาก็รับตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร โดยมีลูกชายคนกลางซึ่งเป็นแฝดพี่อย่าง ธนาธิป รับตำแหน่งรองประธานอยู่ ส่วนแฝดน้องอย่าง ธนบดี นั้นเป็นสูตินรีแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกับพี่ชายคนโตอย่างเธียรทรรศน์
“คิดยังไงให้เธอมาอยู่ที่บ้านด้วย ไม่กลัวว่าเธอจะเป็นพวกมิจฉาชีพเหรอตาเธียร ต่อให้เธอจะเป็นแม่ของน้องธรณ์ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรการันตีนี่ว่าเธอจะเป็นคนดี”
“ผมทราบครับว่ามันเสี่ยงที่ให้เธอมาอยู่บ้านเดียวกัน แต่ผมคิดว่าเราเก็บเธอไว้ใกล้ตัวยังจะดีกว่ากันให้ออกห่าง เพื่อให้ผมสามารถจับตาดูเธอได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”
“แค่นั้นจริงเหรอจ๊ะ ไม่ใช่ว่าลูกมีใจให้เธอหรอกนะ” วาสิตาเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
“มีใจอะไรกันครับคุณแม่ ผมไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ”
“อ้าว แล้วลูกไม่ถามเลยเหรอว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมถึงหายไปตั้งสี่ปีน่ะ”
“ถามแล้วครับ แต่ผมก็ไม่อยากเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เลยให้คนไปสืบอยู่”
“แปลว่าตอนนี้ลูกกำลังสืบประวัติความเป็นมาของเธออยู่สินะ”
“ครับ อีกไม่เกินหนึ่งเดือน เราจะได้รู้แน่ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน และมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ถึงกลับมาทวงลูกคืนตอนนี้”
“แล้วนี่ยังไง ให้เธอพักห้องไหนล่ะ อย่าบอกนะว่าห้องเดียวกันกับลูกน่ะ” ธรรศกรถามต่อ
“ไม่ใช่หรอกครับ ผมให้เธอนอนที่ห้องรับแขกชั้นล่างน่ะ”
“ไหนว่าจะให้มาเป็นคนรับใช้ ทำไมให้นอนห้องแขก เรือนคนใช้ก็มีไม่ใช่เหรอ” ธรรศกรแกล้งถาม ส่วนวาสิตาได้แต่กลั้นยิ้มที่เห็นลูกทำท่าอึกอักแบบนั้น
“ก็ผม...ผมบอกแล้วไงครับว่าผมจะจับตามองเธอ ถ้าให้นอนเรือนคนใช้มันก็ไม่ค่อยสะดวกสิครับ”
“อ้อ...กลัวไม่สะดวกในการจับผิดนี่เองสินะ” ธรรศกรอมยิ้มทำท่าเหมือนเข้าใจ