ฉันหันมาเห็นร่างสูงที่ยืนซ้อนหลังเป็นต้องชะงัก เท้าที่กำลังจะก้าวไปทำงานต่อหยุดนิ่งแล้วทอดมองเขาที่ไม่รู้ว่ายืนมองตั้งแต่ตอนไหน
"นายมาได้ยังไง" น้อยคนนักที่จะขึ้นมาบนนี้ เรียกว่าไม่มีสักคนเลยก็ว่าได้ เพราะทุกครั้งที่ฉันมาก็ไม่เคยเจอใครเลยสักคน
"ทำไมจะมาไม่ได้ โรงพยาบาลหมอเหรอ?" ฉันเบะปากพร้อมถอนหายใจ แน่นอนว่าฉันทำได้เพราะฉันสวมหน้ากากอนามัยที่ปิดหน้าเว้นดวงตาตลอดเวลา
"มาตั้งแต่ตอนไหน" แม้จะไม่อยากคุยให้ปวดหัวไปมากกว่านี้ แต่ฉันก็อยากแน่ใจว่าเขาคงไม่ได้ทันเห็นว่าก่อนหน้านี้ฉันทำอะไร
"นานพอที่จะเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น" ไคเลอร์ลอยหน้าลอยตาตอบ ก็ยังคงความกวนตามประสาเขา สงสัยจะยังโกรธเรื่องสูบบุหรี่ครั้งนั้น เด็กชะมัด...
"นายหมายถึงอะไร ฉันไม่เข้าใจ"
"หมอคิดว่าไง" คนตัวสูงกว่าเลิกคิ้วขึ้น เท่านั้นฉันก็รู้ได้ในทันทีว่าไม่ควรเสียเวลาไปมากกว่านี้ จึงเดินเบี่ยงตัวเขาหวังจะไปทำงานต่อ แต่กลับต้องหยุดเดินเพราะคนยียวนดันเดินมาขวางทาง
"ฉันจะไปทำงาน" ฉันเงยหน้าบอกเขาทั้งคิ้วชนกัน
"เดี๋ยว...ทีกับผมไม่ค่อยอยากคุย ไม่ค่อยอยากยิ้ม แต่กับคนที่มีเจ้าของแล้ว ทำไมไม่ปฏิบัติเหมือนกัน"
"พูดอะไรของนาย" คราวนี้ฉันถอยออกมามองหน้าเขา พูดอะไรที่มนุษย์ฟังไม่รู้เรื่อง อ้อมโลกไปนู้นชักจะน่ารำคาญ
"ผมว่า...ถ้ามาเป็นหมอได้ก็น่าจะเข้าในสิ่งที่ผมสื่อได้ไม่ยาก"
"ฉันเป็นหมอคน ไม่ใช่หมอดูที่จะเดาในสิ่งที่นายต้องการจะสื่อ" ฉันคิดว่าตัวเองน่าจะใช้ความอดทนของวันนี้หมดไปกับเด็กบ้าคนนี้แล้ว
"เลิกยุ่งกับพี่ชายผม"
"พูดอะไรของนาย?" ใบหน้าฉันเต็มด้วยคำถามมากมาย ถึงจะเป็นน้องชายของเขาก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์ให้เราสองคนที่เป็นเพื่อนกันมาหลายปีเลิกคบกัน
หรือเพราะแค่การที่เขาไม่ชอบหน้าฉัน เพราะแค่ฉันเตือนเขาอย่างหวังดี หรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฉันต้องทำตามที่เขาพูดงั้นหรือ...
"ไม่รู้เหตุผลจริง ๆ หรือแกล้ง?" ฉันส่ายหัวเบา ๆ
"บอกแล้วไงว่าไม่ใช่หมอดู"
"สงสัยที่ได้เป็นหมอคนคงจับฉลากได้มา"
จับฉลากได้มางั้นเหรอ!!
ฉันเรียนเรียนหลักสูตรแพทย์ทั่วไปมาถึง 6 ปี จากนั้นก็เรียนต่อเฉพาะทางสูตินรีเวชอีก 4 ปี พูดออกมาได้อย่างไรว่าจับฉลากได้มา ให้ตายเถอะเขาทำให้ฉันระบายเสียงหัวเราะในลำคออย่างเจ็บใจ อยู่ ๆ ก็ตามมาด่าฉันปาว ๆ โดยที่ฉันยังไม่ทำอะไรให้เลย
"นายต้องการอะไร?" ฉันกำมือระงับความโทโสเอาไว้แน่น เพื่อแสดงความมีวุฒิภาวะฉันจะไม่ยืนเถียงกับเด็กบ้าให้เสียเวลา จากนั้นก็ถามเขาไปเสียงเรียบ ๆ แตกต่างจากอารมณ์ที่ค่อนข้างจะเดือดปุด ๆ
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยโมโหใครขนาดนี้มาก่อนเลย
"เลิกยุ่งกับพี่ชายผม" แต่อีกฝ่ายก็พูดเป็นอยู่ประโยคเดียว ดีแต่ขู่คนอื่นไปทั่ว
"แล้วถ้าฉันไม่เลิกล่ะ?" โดนกวนกลับบ้างจะเป็นอย่างไร ชักจะหมดความอดทนลงแล้ว
"หมอก็เตรียมตัวบอกลาชีวิตที่สงบสุขของหมอแล้วกัน เพราะผม...ไม่ปล่อยหมอไว้แน่" ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดต่อคนต่อว่าก็หันหลังเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งระเบิดลูกใหญ่หนึ่งลูกที่พาหัวของฉันคิดวนไปวนมาก็ยังไม่เข้าใจ
บอกลาชีวิตที่เคยสงบสุข?
ดวงตาแข็งกร้าวบ่งบอกว่านั่นไม่ใช่แค่คำขู่เท่านั้น เขาจะทำอะไร เพียงแค่อยากให้ฉันเลิกยุ่งกับพี่ชายจำเป็นต้องถึงขนาดนี้เลยหรือไงกัน
เป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ
ฉันเดินกลับมาที่แผนกที่ทำงานอีกครั้ง แน่นอนว่าคำพูดเหล่านั้นยังคงฝั่งอยู่ในหัวของฉัน แต่ยังไงคนกินเงินเดือนแบบฉันก็ยังต้องก้มหน้าทำงานต่อไป จึงทำได้แค่ทิ้งอารมณ์ฉุนเฉียวไว้ที่ดาดฟ้าของโรงพยาบาล แล้วปั้นหน้านิ่ง ๆ ตามประสาบริการคนไข้ต่อไปอย่างไม่สนใจ
"รู้ยังว่าวันนี้หมอเค้กไปแผนกศัลยกรรมอีกแล้วจ้า" ฉันหยุดเดินเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองลอยมาจากปากพยาบาลสักคน วัน ๆ ของพยาบาลที่นี่คงไม่ทำอะไรนอกจากนินทาเรื่องของคนอื่นไปเรื่อย โดยเฉพาะฉันที่เป็นอาหารปากชั้นดี เพราะนิสัยไม่ชอบตอบโต้ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่สนใจใคร หรือที่พวกเขาชอบว่าฉันหยิ่งยโสจึงทำให้หลายคนยิ่งหมั่นไส้กว่าทุกคน
ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดการที่ฉันไม่พูดมาก ไม่เคยว่าร้ายใคร หรืออัธยาศัยไม่ดีจะกระทบจิตใจใครตรงไหน ผิดกับพวกเธอที่ขี้นินทา ปากหอยปากปู ชอบประจบประแจง ต่อหน้าดีแต่ลับหลังก็นินทาเขาสนุกปาก เพราะแบบนี้ฉันจึงเลือกที่จะอยู่คนเดียว คัดคนคุยหรือพูดคุยเฉพาะเรื่องงาน และคนที่สนิทใจจะคุยด้วยเท่านั้น
"ไปอ่อยเขาถึงที่ แต่สุดท้ายก็นก" พวกเขายังคงพูดต่อ และนี่คือสิ่งที่ฉันเจอเป็นประจำ และทำให้เริ่มรู้สึกชินชาจนก้าวผ่านความรู้สึกเสียใจไปแล้ว
"เป็นฉันฉันลาออกไปแล้วนะ ไม่อยู่ให้อายคนอื่นเขาหรอก"
"วัน ๆ ไม่สนใจใคร ฉันว่าคงไม่มีความอายหลงเหลือแล้วแหละ"
"ฮ่า ๆ" ขณะที่เสียงนินทาของฉันจบลง ฉันก็เดินผ่านหน้าไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าของปากปีจอทั้งสองที่หันมาเห็นก็เบิกตาโตเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหน้ากันแล้วรีบเก็บอาการเหมือนกับไม่เคยพูดอะไรถึงฉัน
"อาจารย์พักเบรกเสร็จแล้วเหรอคะ เร็วจัง" หนึ่งในสองปรับสีหน้าถามฉันด้วยรอยยิ้ม ฉันนับถือในความเปลี่ยนสีไวกว่ากิ้งก่าจริง ๆ ถ้าไม่ได้ยินมากับหูตัวเองก็คงเชื่อไปแล้วว่าคนตรงหน้าถามอย่างหวังดีกับฉันจริง ๆ
"ค่ะ" ฉันระบายยิ้มแล้วเดินผ่านหน้าเธอทั้งสองทันที ไม่อยากจะเสวนาให้เสียเวลา อยากพูดอะไรก็พูดไป ก็มันไม่ใช่เรื่องจริงทำไมฉันจะต้องแก้ตัวให้มันเสียเวลา
ฉันหยิบเสื้อกาวน์ที่แขวนอยู่ในห้องมาสวมต่อ เตรียมพร้อมกับงานที่จะเข้ามาเพราะวันนี้ยังต้องอยู่เวรยาว ๆ จนถึงเช้าของอีกวันเลยทีเดียว
ครืดดๆ
เสียงข้อความเตือนให้ฉันต้องคว้าออกมาดู ก่อนที่จะเห็นข้อความของคนที่ทำให้ใจเต้นแรงทุกครั้ง
ไคเรน : ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ เฌอแตมก็ฝากขอบคุณด้วย ว่าง ๆ ให้พวกเราเลี้ยงข้าวเค้กนะครับ
เพราะแสนดีแบบนี้ไง ฉันถึงตัดใจจากเขาไม่ได้สักที ทั้งคุณเฌอแตมก็ยังน่ารัก นิสัยดี ยิ้มเก่งกว่าฉันเป็นไหน ๆ ทั้งสองคนเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ฉันพูดจริง ๆ
ฉัน : ไม่เป็นไรดีกว่าเรน ช่วงนี้เค้กงานยุ่งน่ะ มันเป็นหน้าที่เค้กอยู่แล้ว อีกอย่างคุณเฌอแตมก็เป็นคนไข้ของเค้ก แล้วยังเป็นแฟนของเพื่อนสนิทเค้กอีก เค้กยินดีเป็นที่ปรึกษาให้อยู่แล้ว
เชื่อไหมว่าฉันพิมพ์ตอบไคเรนทั้งน้ำตาคลอเบ้า แน่นอนว่าฉันยินดีที่ไคเรนเจอคนที่เขารักมากอย่างที่พิมพ์ไป แล้วเธอคนนั้นก็ยังเป็นคนดี ดีแบบไม่มีที่ติ ดีกว่าฉันเป็นไหน ๆ เขาเหมาะสมกันแต่ผิดที่ฉันเองที่ยังทำใจยอมรับความจริงไม่ได้
ให้ฉันนั่งทานข้าวโดยเห็นภาพบาดตาบาดใจตลอดเวลา ข้าวมื้อนั้นคงเป็นมื้อที่แย่ที่สุดในชีวิตของฉันเลย
เค้กขอเวลาหน่อยนะเรน แล้วเค้กจะมองหน้าเรนในฐานะเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจให้ได้เค้กสัญญา