เมื่อเห็นว่าหญิงสาวสนใจคอนโดมิเนียมจริงๆ ทินภัทรเลยรับปากว่าจะลองถามผู้ซื้อคนก่อนๆ ให้ว่ามีใครอยากจะปล่อยห้องต่อบ้างแล้วเขาจะติดต่อเธอมาอีกที
ที่ชายหนุ่มยังไม่ตัดสินใจขายก็เพราะเขาอยากจะรู้จักเธอให้มากขึ้นกว่านี้อีกนิด เพราะถ้าต้องขายห้องให้กับเธอแล้วเขาก็อยากจะมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาปัญหาอะไรตามมาทีหลัง
หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งสองก็บอกลากันที่หน้าร้าน
“แล้วผมจะติดต่อไปนะครับ”
“ได้ค่ะ หวังว่าคุณทินจะมีข่าวดีให้ชัญญ่านะคะ”
“ครับ ขับรถกลับบ้านดีๆ นะครับ”
“เช่นกันค่ะ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะคะ”
มญชุ์ชัญญาขับรถกลับมาที่บ้านที่ตนเองอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิดแต่ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกว่าสมาชิกในบ้านนั้นมากเกินจนเธอแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย
“อาชัญญ่าขาทำไมวันนี้กลับช้าจังเลยคะ น้องหมิวคิดถึงอาชัญญ่าที่สุดเลยค่ะ” น้องหมิวเด็กน้อยวัยห้าขวบลูกสาวของพี่ชายคนโตวิ่งเข้ามาหามญชุ์ชัญญาเมื่อเธอเดินเข้ามาในบ้าน
“อาไปทำธุระมาค่ะ น้องหมิวทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอคะ”
“เสร็จแล้วค่ะ อาชัญญ่าเล่านิทานให้น้องหมิวฟังหน่อยได้มั้ยคะ”
“อาขอไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนได้ไหมคะ อาเพิ่งมาจากข้างนอกตอนนี้มีแต่เหงื่อเลยค่ะ ตัวอาเหม็นมาก”
“ไม่เหม็นเลยค่ะตัวอาชัญญ่าห้อมหอมกว่าคุณแม่อีกนะคะ”
“น้องหมิวอย่าพูดแบบนี้สิคะ ถ้าเกิดคุณแม่ได้ยินจะเสียใจนะ” เธอรีบกระซิบกับหลานสาว
“ก็น้องหมิวพูดจริง อาชัญญ่าสวยแล้วตัวก็หอมมากเลยค่ะ” เด็กสาวพูดพร้อมกับหอมแก้มคุณอาสาวอย่างประจบ
“ชัญญ่าไปไหนมาเหรอลูก” คุณวารีถามลูกสาวคนเล็กซึ่งปกติแล้วจะต้องมารับประทานอาหารค่ำด้วยกันแต่วันนี้เธอโทรศัพท์มาบอกผู้เป็นมารดาว่าจะกลับมาบ้านช้าหน่อยให้ทุกคนทานอาหารเย็นได้เลย
“หนูไปกินข้าวกับเพื่อนมาค่ะ”
“เพื่อนแน่นะไม่ใช่แอบมีแฟนล่ะ”
“แม่ขาหนูเพิ่งกลับมาเมืองไทยจะมีแฟนที่ไหนกันล่ะ”
“ไม่มีก็ดีแล้ว แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับชัญญ่าหน่อยนะ เดี๋ยวอาบน้ำแล้วเข้าไปคุยกับแม่ในห้องทำงานของคุณพ่อนะ”
“เรื่องสำคัญเหรอคะแม่ ทำไมต้องเข้าไปคุยในห้องทำงานด้วยคุยกันตรงนี้ก็ได้”
“เรื่องสำคัญจ้ะ หนูรีบอาบน้ำเถอะเดี๋ยวจะได้คุยกัน”
“ได้ค่ะแม่” มญชุ์ชัญญาก้มลงหอมแก้มหลานสาวตัวน้อยก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำ
เธอพอจะรู้มาว่าเรื่องที่มารดาจะคุยนั้นเป็นเรื่องอะไร หญิงสาวอาบน้ำเสร็จก็เคาะประตูห้องทำงานของผู้เป็นบิดาเมื่อเปิดเข้ามาด้านในก็เห็นว่าตอนนี้นอกจากบิดามารดาของตนเองแล้วยัง ยังมีคุณปู่กับคุณย่าอยู่ด้านในด้วย
“สงสัยจะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ใช่ไหมคะทุกคนถึงอยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้”
“ใช่จ้ะ หนูมานั่งกับย่าตรงนี้นะลูก”
“ค่ะคุณย่า” มญชุ์ชัญญาเดินไปนั่งกับคุณย่าไพลิน
“ชัญญ่าพร้อมจะฟังเรื่องที่ปู่จะพูดแล้วใช่มั้ยลูก”
“คุณปู่จะพูดเรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องการแต่งงานของหนูไงล่ะลูก”
“การแต่งงานของหนูเหรอคะคุณปู่” มญชุ์ชัญญาพอรู้มาว่าคุณปู่อยากจะให้เธอแต่งงานซึ่งคุณปู่ก็เคยพูดเรื่องนี้ไว้ก่อนที่เธอจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
หญิงสาวคิดว่าทุกคนจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วเพราะตอนที่เธอกลับมาถึงเมืองไทยใหม่ๆ ก็ไม่ได้มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย
“หนูนึกว่าคุณปู่จะเปลี่ยนใจแล้วนะคะ”
“ไม่เปลี่ยนใจหรอกแต่ที่ปู่ยังไม่พูดตอนที่หนูกลับมาถึงบ้านเพราะปู่อยากให้หนูได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระก่อน”
“คุณปู่ขาหนูเพิ่งกลับมาจากอังกฤษได้แค่สองเดือนเองนะคะขอเวลาหน่อยได้ไหมหนูยังไม่อยากแต่งงาน”
“หนูไม่อยากแต่งแต่หนูก็จำเป็นต้องแต่ง”
“ทำไมหนูจะต้องแต่งด้วยล่ะคะคุณปู่ หนูว่าอยู่เป็นโสดแบบนี้มันก็ดีมากๆ หรือคุณปู่กับคุณย่าและคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากจะเลี้ยงดูหนูแล้วถึงอยากจะให้หนูแต่งงาน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังน้อยใจ
“ไม่มีใครคิดแบบนั้นเลยแต่ที่ปู่อยากจะให้แต่งก็เพราะอยากจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนน่ะ”
“เพื่อนคุณปู่ใครคะ”
“ก็คุณปู่สุทัศน์ไงล่ะ”
“หนูรู้มาว่าท่านเสียชีวิตไปแล้ว ทำไมคุณปู่ยังจะยึดกับสัญญาอีกล่ะ”
“มันไม่ใช่แค่เพียงสัญญาหรอกนะ ตอนนี้พินัยกรรมของคุณปู่สุทัศน์เปิดออกมาแล้วในพินัยกรรมระบุว่าหนูต้องแต่งงานกับหลานชายของเขา”
“พินัยกรรมของบ้านนั้นมันเกี่ยวอะไรกับหนูคะ”
“ปู่จะอธิบายให้ฟังนะ พินัยกรรมของปู่สุทัศน์บอกว่าจะให้หลานชายของเขาแต่งงานกับหนูและมีลูกด้วยกันหนึ่งคนแล้วสมบัติของคุณปู่สุทัศน์จะตกเป็นของหลานชายแต่ถ้าหนูไม่แต่งงานกับเขาสมบัติทุกอย่างจะตกมาเป็นของหนู”
“มีพินัยกรรมแปลกๆ แบบนี้ด้วยเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ”
“คุณปู่คะแล้วถ้าหนูไม่ยอมแต่งงานล่ะ”
“มันก็เป็นสิทธิ์ของหนูนะแต่สมบัติทั้งหมดของเขาก็จะเป็นของหนู หนูคิดว่าจะรับสมบัติทั้งหมดได้ไหม”
“ถ้าหนูไม่แต่งงานแต่หนูเซ็นยกสมบัติคืนให้เขาได้ไหมคะ หนูยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานหรือมีครอบครัว”
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกลูกทุกคนต้องทำตามเงื่อนไขในพินัยกรรม”
“แต่เราเป็นคนนอกนะคะคุณปู่ทำไมจะต้องทำตามด้วย” หญิงสาวมองไม่เห็นเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องทำตามเลย
“เพราะปู่สุทัศน์เป็นเพื่อนสนิทของปู่และก็เป็นคนที่มีบุญคุณกับปู่มาก ปู่ก็อยากให้ทุกคนทำตามพินัยกรรม ปู่อยากให้เราสองครอบครัวมีทายาทเพื่อสืบสกุล”
“แล้วทำไมต้องเป็นหนูด้วยล่ะคะ”
“ก็เพราะทางนั้นเขามีแต่หลานผู้ชายนี่”
“คุณปู่คะ นี่มันปีไหนแล้วไม่มีใครเขาคลุมถุงชนกันหรอกค่ะ”
“หนูจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ ลูกเพราะเราจะพาหนูไปเจอพี่เขาก่อนให้หนูทำความรู้จักพี่เขาสักนิดแล้วค่อยแต่งงานกัน” คุณย่าประไพอธิบายเพิ่ม
“แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะคะเพราะสุดท้ายหนูก็ต้องแต่งงานใช่ไหม แม่คะแม่ช่วยหนูได้ไหม”
“แม่เข้าใจหนูนะลูกแต่เรื่องนี้แม่ช่วยหนูไม่ได้จริงๆ”
“ชัญญ่าถ้าหนูลำบากใจมากหนูไม่ต้องแต่งก็ได้นะลูก ลืมเรื่องคำสัญญาที่ปู่มีให้กับเพื่อนไปก็ได้ แล้วก็เอาสมบัติของเขามาตามที่พินัยกรรมระบุ ยังไงเพื่อนของปู่ก็ตายไปแล้ว คงมาต่อว่าปู่ไม่ได้ เอาไว้ปู่ตายไปปู่จะไปขอโทษและอธิบายกับเขาเอง” คุณอำนาจพูดอย่างปลงตกที่ตนเองไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนรักได้อย่างที่รับปากไว้
ก่อนที่คุณสุทัศน์จะเสียชีวิตเขาได้พูดเรื่องนี้และฝากให้จัดการทุกอย่างต่อเพราะอยากให้ทั้งสองครอบครัวได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน เนื่องจากคุณสุทัศน์กลัวว่าหลานชายจะไปคว้าเอาผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาเป็นสะใภ้และตนเองก็รับปากเพื่อนไว้แล้วว่าจะยกหลานสาวให้
“คุณค่ะ อย่าคิดมากเลยฉันเชื่อว่าเพื่อนของคุณจะเข้าใจค่ะ” ย่าประไพปลอบใจสามี
“ผมก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ”
“เอาล่ะย่าว่าเราคุยกันแค่นี้ก่อนดีกว่านะ คุณปู่ถึงเวลาพักผ่อนแล้ววิทยากับวารีพาพ่อขึ้นข้างบนหน่อยนะ”
“ค่ะคุณแม่”