“ค่ะ คุณจิณณ์”
“ใครใช้ให้เธอไปทำงาน”
“พราวเห็นว่าที่บ้านเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ถ้าฉันยังไม่สั่ง เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไปไหนทั้งนั้น”
คำพูดกำกวมที่ผูกมัดหญิงสาวสาวมาตลอดห้าปีเต็ม บางครั้งพิชชาอรก็ถามตัวเองว่าที่เธอไม่ยอมไปจากที่นี่เพราะบุญคุณของคุณหญิงจาริณี หรือเพราะจิณณ์กันแน่
น้ำเสียงในสายบ่งบอกถึงความหงุดหงิด พิชชาอรก้มหน้าลงเล็กน้อย ข่มความน้อยใจที่กลั่นเป็นน้ำอุ่นๆ เอ่อท้นรอบดวงตาคู่งามเอาไว้ เพราะเกรงว่าจะมีใครมาเห็น เธอไม่อยากเป็นคนอ่อนแอในสายตาใครๆ หญิงสาวปาดน้ำตาทิ้งไปอย่างลวกๆ แล้วเงยหน้าขึ้นกระพริบตาถี่ไล่น้ำใสๆ ที่คั่งค้างอยู่ให้ไหลกลับไปที่เดิม
“ค่ะ พราวจะจำไว้” แม้จะบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น แต่ดูเหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
“ดี! เดี๋ยวฉันไปรับ”
“เอ่อ... จะไปไหนเหรอคะ”
“ไม่ต้องถาม!” เขาตะคอกกลับมาด้วยน้ำเสียงดุไม่ต่างจากตอนต้น
“อีกห้านาทีออกมาที่หน้าร้านได้เลย”
“... คือ ... คือ”
หญิงสาวผินสายตาไปยังโต๊ะริมหน้าต่าง จิรัสย์นั่งยกขาไขว่ห้างในท่าที่สบาย แต่สายตาของเขาที่มองมาทียังเธอทำเอาร้อนๆ หนาวๆ พี่น้องคู่นี้นิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหว ทว่าหากโกรธขึ้นมาแววตาของคนทั้งคู่กลับเหมือนกันจนแยกไม่ออก และดูเหมือนคนที่เธอทิ้งให้เขารออยู่นานเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว จิรัสย์ลุกจากเก้าอี้มุ่งตรงมายังเธอ
“มีอะไรอีก” น้ำเสียงขัดใจเอ่ยถามอย่างรำคาญ
“คือ... พราวกำลังทานข้าวกับคุณโจอยู่ค่ะ ห้านาทีพราวคิดว่า...”
“นั่นมันเรื่องของเธอ แต่ฉันให้เวลาห้านาที เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันไม่ชอบรอใคร” คนในสายกดน้ำเสียงต่ำแกมออกคำสั่งมากกว่าคำบอกเล่า พิชชาอรเผลอถอนหายใจออกมา
“ว่ายังไงครับพี่ชาย” ก่อนที่เธอจะได้ทันพูดอะไรอีก โทรศัพท์ในมือก็ถูกดึงจากบุคคลที่สามไปคุยเสียเอง
“แกมายุ่งอะไรด้วย แล้วนี่ไปที่นั่นทำไม”
คนในสายตวาดถามอย่างไม่พอใจเมื่อรู้ว่าเป็นใคร ซึ่งดูเหมือนจิรัสย์ก็ไม่แปลกใจ ปกติแล้วพี่ชายก็ไม่เคยจะพูดจาอ่อนหวานกับเขาสักเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะผู้หญิงที่ยืนตัวเล็กลีบอยู่ข้างๆ นี่แหละ ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูไม่ออก แต่เขาก็เคารพกฎกติกา เมื่อแพ้ก็ถอยออกมา ทว่าบางครั้งก็อดหมั่นไส้ไม่ได้เลยขอแกล้งสักหน่อย
“ผมก็มาหาอะไรใส่ท้องน่ะสิครับ” จิณณ์หัวเราะในลำคออย่างรู้ทัน
“แกแน่ใจเหรอว่าแค่มาหาอะไรใส่ท้อง”
“ไม่แน่ใจครับ ผมมาหาอาหารตาด้วย” คนพูดปรายตามายังหญิงที่ยังคงยืนก้มหน้านิ่ง ไม่รับรู้บทสนทนาที่กำลังฟาดฟันกันอยู่ระหว่างน้องกับพี่ชายเจ้าอารมณ์
“อาหารต่อให้อร่อยแค่ไหนก็สู้อาหารตาไม่ได้หรอกครับ”
มือที่กำพวงมาลัยบีบแน่นขึ้น จิณณ์สูดลมหายใจเข้าปอดบอกให้ตัวเองใจเย็น แต่ฝีเท้าก็ยังคงไม่ผ่อนจากคันเร่ง เขาตบไฟเลี้ยวเพื่อเข้าเลนในสุดของถนน อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงจุดหมาย อยากจะเจอหน้าไอ้คนที่มันกล้าดียังไงมายุ่งกับของของเขา
“ไอ้โจ! อย่ายุ่งกับเมียกู” จิณณ์สบถอีกหลายคำ เมื่อรู้ว่าน้องชายกำลังกวนประสาทตนเองอยู่
“วันนี้พี่เพิ่งดูตัวกับว่าที่เมียไม่ใช่เหรอ งั้นคนนี้... ผมขอนะครับ”
“ไอ้โจ!” จิณณ์เลือดขึ้นหน้า เขากดแตรบีบใส่รถคันหน้าดังสนั่น โทษฐานที่อยากขับเลนในสุดแต่เชื่องช้ายิ่งกว่าเต่า
“ใจเย็นๆ สิครับพี่ชาย ตามคิวนะครับ ต่อให้พี่ขับรถมาเร็วแค่ไหน หากผมยังทานข้าวกับพราวไม่เสร็จพี่ก็ต้องรอ”
เขาตัดจบบทสนทนาด้วยการวางสายโดยไม่รู้ว่าปลายสายนั้นดิ้นเร่าแค่ไหน จิรัสย์คว้าข้อมือบางกลับไปที่โต๊ะตัวเดิม สีหน้าของหญิงสาวเผยความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ชายหนุ่มกลับหัวเราะร่วนปกปิดความน้อยใจเอาไว้ให้ลึกที่สุด
“ไม่เป็นไรหรอก ทานข้าวก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
ทั้งสองนั่งอยู่บนชั้นสองของห้องอาหาร จึงทำให้เห็นได้ชัดว่ามีรถหรูคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดในบริเวณลานจอดวีวีไอพี จิรัสย์ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ตักอาหารใส่จานของหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง
“หากไม่ทาน ฉันไม่อนุญาตให้เธอไปกับเขาหรอก”
คนพูดเปลี่ยนเป็นสายตาเย็นชาจดจ้องใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษอย่างจริงจัง ดวงตาคู่สวยที่ปกคลุมไปด้วยขนตางามงอนช้อนมองเขาเล็กน้อย พิชชาอรค่อยๆ หยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักอาหารในจานใส่ปากทั้งที่ไม่รู้รสชาติเอาเสียเลย และจิรัสย์ก็แกล้งเธอได้ไม่นาน ด้วยความสงสารเธอและอาจจะเพราะสงสารตัวเองด้วย
“ไปเถอะ ฉันรู้ว่าเธอคงทานมื้อนี้ไม่อร่อย”
จากที่คิดจะแกล้งพี่ชายให้หนัก แต่กลับต้องมาสงสารคนที่รับกรรม ดูเหมือนคำพูดปลดปล่อยของเขาทำให้ใบหน้าเศร้ามีสีเลือดขึ้นมาบ้าง พิชชาอรรีบพนมมือไหว้เขาแล้วลุกไปจากเก้าอี้ด้วยท่าทีร้อนรนทันที เขาก้มมองไปยังชั้นล่าง ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่รถคันหรู สารถีลดกระจกฝั่งคนขับรถเล็กน้อย พี่น้องได้มีโอกาสสบสายตากัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ลดละราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ชาติปางก่อน