8
รอยร้าวที่กลายเป็นรอยแตก
เราทั้งคู่เดินทางมาที่วัดแห่งหนึ่งนอกเมือง ที่นั่นเป็นที่ที่ฝังเถ้ากระดูกของพ่อและแม่ฉันเอาไว้ วันนี้เนเน่ไปร่วมกิจกรรมกับทางมหาลัยเลยไม่ได้มาไหว้ท่านเหมือนทุกปี
“พ่อคะ แม่คะ นิตามาเยี่ยมแล้วนะคะ”
ฉันลงมือบริเวณรอบ ๆ ล้างช่องเก็บอัฐิด้วยตัวเองโดยมีคุณพศิณคอยช่วยอยู่ไม่ห่าง เขาไม่ได้พูดอะไรมากและอยู่เงียบ ๆ ทำให้ฉันไม่อึดอัดเลย
“ผมไปรอตรงนั้นนะครับ คุณจะได้คุยกับพวกท่านได้”
“ขอบคุณมากค่ะ”
คุณพศิณเดินเลี่ยงไปอีกมุมเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับฉัน เมื่อเห็นว่าเขาไปไกลพอที่จะไม่ได้ยินเรื่องที่ฉันกำลังจะพูดแล้วฉันก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มพูดสิ่งที่อยู่ในใจ
“หนูแต่งงานกับพี่ชินแล้ว....และอีกไม่นานก็คงแยกย้ายกันไป....ถึงอย่างนั้นหนูก็พยายามทำดีที่สุดแล้วค่ะในการจะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้”
ฉันรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างขึ้นมาอุดที่คอทำให้พูดต่อไม่ได้ น้ำตาที่เหือดแห้งไปไหลลงมาเงียบ ๆ ความเสียใจที่สะสมมาตลอดหลายเดือนเริ่มทำให้ฉันพังทลาย
“นิตาเหนื่อยจังค่ะ พี่ชินเปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคนกับเมื่อก่อน แม้แต่คำสัญญาที่ว่าจะมาหาพ่อกับแม่ทุกปีเขาก็ลืมไปแล้ว”
ถ้อยคำที่เก็บไว้ในใจของฉันถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดต่อหน้าอัฐิของพ่อและแม่ หลังจากพูดทุกอย่างออกไปฉันก็สบายใจขึ้นมานิดหน่อย
“ไว้หนูจะหาเวลามาอีกนะคะ หนูคิดถึงพ่อกับแม่นะ....”
ฉันยกมือลูบรูปถ่ายหน้าอัฐิก่อนจะหันหลังเดินจากมา คุณพศิณที่ยืนรออยู่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เงียบ ๆ โดยที่ไม่ถามอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“ขอบคุณนะคะ”
“ครับ”
เราแวะเข้าไปทำบุญกันอีกนิดหน่อยก่อนจะออกจากวัด ระหว่างทางเราไม่ได้คุยอะไรกันมาก ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
“ขอบคุณนะคะที่มาด้วยกัน”
ฉันเป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เขายิ้มออกเล็กน้อยแล้วพูดด้วยเสียงร่าเริง
“เรื่องเล็กน้อยครับ เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า คุณหิวหรือยัง”
พอเขาถามฉันก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันทีทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกตื้อ ๆ อยู่เลย
“งั้นมื้อนี้ฉันเลี้ยงนะคะ”
“ดีเลยครับ ผมจะกินให้เต็มท้องเลย”
เรามุ่งหน้าไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก เป็นร้านธรรมดาที่ดูแล้วคนแบบเขาไม่น่าจะชอบทานด้วยซ้ำ
“ที่นี่เหรอคะ”
ฉันมองร้านข้างทางอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ประธานบริษัทแบบเขาชอบกินอาหารแบบนี้งั้นเหรอ
“ครับ ผมชอบอาหารง่าย ๆ อีกอย่างร้านนี้ทำอร่อยมากคุณต้องชอบแน่ ๆ”
คุณพศิณยิ้มออกมาแล้วรีบลงไปเปิดประตูให้ฉันแล้วพากันเดินเข้าไปในร้าย แม่ครัวที่กำลังผัดข้าวหันมายิ้มให้คุณพศิณพร้อมกับกล่าวทักทายด้วยความสนิทสนม
“อ้าว! ศิณ เอาเหมือนเดิมไหม?”
“วันนี้ขอแบบจัดเต็มเลยครับป้า ผมพาเพื่อนมากินด้วยนะ เธอชื่ือนิตา”
“สวัสดีค่ะ”
เธอหันมองหน้าฉันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกับโบกมือทักทายอย่างเป็นมิตร
“สวัสดีจ้าหนู โอโห้ โตพอจะควงสาวไปไหนมาไหนแล้วสินะศิณ ยัยหนูนี่น่าตาน่ารักไม่เบาเลยป้าจะทำให้สุดฝีมือเลยล่ะ ไปนั่งข้างในก่อนนะ”
“โธ่ป้า ไม่ใช่แบบนั้นนะ”
ป้าของเขาหัวเราะออกมาก่อนจะหันไปทำอาหารต่อ คุณพศิณพาเราเข้ามาด้านในก่อนที่เขาจะเลื่อนเก้าอี้ให้ฉันนั่ง
“ขอโทษด้วยนะครับ ป้าผมก็พูดไปเรื่อย”
“ป้าคุณน่ารักดีนะคะ”
“พ่อกับแม่ผมเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กท่านเลยเป็นญาติคนเดียวที่ผมยังเหลืออยู่”
“เสียใจด้วยนะคะ”
“ขอบคุณครับแต่ผมก็ไม่ได้เศร้าขนาดนั้น”
ฉันเพิ่งรู้ว่าเขาเองก็เสียพ่อกับแม่ไปตั้งแต่เด็กเหมือนกัน เราสองคนมีอะไรที่คล้ายกันหลายอย่างเลย
“ผมขอเสียมารยาทถามได้ไหม?”
“คะ?”
“สามีของคุณ....เขาทำคุณเสียใจบ่อยไหมครับ”
“.....”
ฉันหลบตาเขาเพราะก้อนบางอย่างที่ขึ้นมาจุกตรงคอ คำถามของเขามันก็มีคำตอบชัดเจนอยู่แล้ว
“ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณแต่ผมเป็นห่วงคุณนะครับ”
มือหนาเลื่อนมากอบกุมมือฉันไว้ ไออุ่นที่เขาส่งมาให้เป็นสิ่งที่ฉันต้องการในเวลานี้ที่สุด ความอึดอัดที่อยู่ในใจและรอหาใครสักคนมาคอยรับฟังมันมาถึงขีดสุดแล้ว
“ค่ะ เขาเป็นแบบนั้นมาตลอด”
“คุณเล่าให้ผมฟังได้นะ ผมอาจช่วยอะไรไม่ได้มากแต่คุณคิดว่าเล่าให้ตุ๊กตาฟังก็ได้ครับ ผมจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่พูด ไม่ถามเลย สัญญาครับ!”
เขาทำท่านั่งนิ่งจนฉันหลุดขำทั้งที่ยังรู้สึกแย่อยู่ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ฉันกับเขามีความจำเป็นต้องแต่งงานกันค่ะ”
พอได้พูดแล้วฉันก็หยุดไม่ได้เหมือนตัวเองได้ระบายความอัดอั้นออกไป ฉันเล่าให้คุณพศิณฟังถึงสาเหตุที่ต้องแต่งงานกับพี่ชินด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เขาฟังอย่างตั้งใจและไม่ได้พูดอะไรขัดขึ้นมาเลยแม้แต่คำเดียว ฉันเล่าทุกอย่างออกไปจนหมดเปลือกเว้นเรื่องที่จะหย่ากับเขาในเวลาอีกไม่ถึงสองเดือน
“คุณคงรักเขามากเลยนะครับ ผมสัมผัสได้”
ถ้าฉันฟังไม่ผิดน้ำเสียงเขามีความเสียใจเจือปนอยู่นิด ๆ แต่เขาก็ยังคงส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้พร้อมกับบีบมือฉันเบา ๆ
“ผมเข้าใจคุณนะ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
คำปลอบโยนที่แสนอ่อนโยนของเขาทำให้น้ำตาฉันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้รับการปลอบโยนแบบนี้
“ฉันเหนื่อยค่ะ เหนื่อยจริง ๆ”
“ไม่เป็นไร ผมจะอยู่ข้างคุณเสมอ เวลาไม่สบายใจคุณเล่าให้ผมฟังได้นะ”
คุณพศิณใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาให้ฉันอย่างแผ่วเบา แววตาของเขาช่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความอบอุ่นจริง ๆ
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริง ๆ”
“ครับ”
หลังจากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีกและปล่อยให้ฉันสงบลงทีล่ะนิด ไม่นานอาหารก็ถูกเอาเข้ามาเสริฟ แต่ล่ะอย่างดูน่าทานทั้งนั้น
“กินให้อร่อยนะ ป้าทำสุดฝีมือเลย”
“ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่ะ”
เราลงมือกินอาหารตรงหน้าทันที อย่างที่เขาบอกเลย มันอร่อยมาก
“ชอบไหมครับ”
“ค่ะ อร่อยทุกอย่างเลย”
“ผมบอกป้าแล้วว่าจะเปิดร้านที่ใหญ่กว่านี้ให้แต่ท่านไม่ยอม เอาแต่บอกว่าอยู่กับที่นี่จนผูกพันไปแล้ว ขอให้ย้ายไปอยู่ด้วยกันก็ไม่ยอมไป”
“ก็ป้าไม่ชอบรถติดนี่ อยู่แบบนี้ก็ไม่เดือดร้อนสักหน่อย”
ป้าของเขาเดินเข้ามาพอดีพร้อมกับของหวานที่ดูน่าทานในมือ พศิณลุกไปช่วยยกถาดแล้วประคองป้าของเขามานั่งด้วยกัน
“แค่ผมก็ยังห่วงนี่ครับ”
“ห่วงอะไร หลานก็ส่งเงินมาให้เยอะแยะจนไม่มีที่เก็บแล้ว แถมยังจ้างคนงานให้จนป้าแทบไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ”
“ป้าเลี้ยงผมมาด้วยความยากลำบาก ผมแค่อยากตอบแทนบ้าง ย้ายไปอยู่กับผมเถอะนะครับ”
“ยัยหนูช่วยห้ามหลานป้าหน่อยสิ ดื้อตั้งแต่เด็กจนโตเลย”
เมื่อเห็นว่าคุณพศิณทำท่าดื้อรั้นคุณป้าก็หันมาขอความช่วยเหลือจากฉัน ภาพครอบครัวที่อบอุ่นทำให้ฉันยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณพศิณคงห่วงคุณป้ามากเลยนะคะ”
“ใช่สิ จะห่วงอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ป้าไปดีกว่า”
แล้วท่านก็เดินหนีออกจากห้องไปโดยมีเสียงของคุณพศิณตะโกนตามหลังไปด้วย
“ป้าครับบบ”
ฉันเพิ่งเคยเห็นท่าทางเหมือนเด็กของเขาก็วันนี้เอง ใบหน้าหล่อเหลาที่ชอบยิ้มตอนนี้บูดบึ้งเล็กน้อย
“ใจเย็น ๆ นะคะ ค่อย ๆ เกลี่ยกล่อมไปเดี๋ยวท่านก็ใจอ่อน”
“นั่นสินะครับ คุณอิ่มหรือยังครับ?”
“คะ อ๋อ อิ่มแล้วค่ะ”
“งั้นช่วยไปกับผมสักที่ได้ไหมครับ”
ฉันงงกับเขาเล็กน้อยเพราะคุณพศิณเปลี่ยนอารมณ์ไวมาก เขากลับมายิ้มเหมือนเดิมและพาฉันไปลาคุณป้าก่อนจะพากันขึ้นรถขับออกไปนอกเมือง
“เราจะไปไหนกันคะ?”
“สถานที่ลับของผมเอง ไว้ใจผมได้ครับ!”
คำพูดทีเล่นทีจริงของเขาทำให้ฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้และพอฉันหัวเราะเขาก็ฉีกยิ้มกว้างจนเต็มใบหน้า
“คุณหัวเราะแล้ว ดีจัง”
“คะ”
“ก็คุณไม่ค่อยยิ้มหรือหัวเราะเลย คุณรู้ตัวหรือเปล่า”
“ฉันไม่ค่อยมีเรื่องให้หัวเราะน่ะคะ”
ที่ผ่านมามีเรื่องให้คิดและจัดการตลอดฉันเลยไม่ค่อยหัวเราะเท่าไหร่ ครั้งสุดท้ายก็คงก่อนที่คุณชีวินจะเสียล่ะมั้ง
“คุณสวยเวลายิ้มนะครับ ผมชอบ”
ไม่นานเราก็มาถึงสถานที่ที่เขาบอก มันเป็นทุ่งดอกไม้ที่หาดูได้ยาก ทั้งสวยและงดงามจนหาคำไหนมาบรรยายไม่ได้
“สวยจังเลยค่ะ”
“พ่อกับแม่ผมซื้อที่ดินผืนนี้และปลูกดอกไม้ไว้ก่อนเสียผมก็เลยได้รับมันมา พอโตขึ้นผมก็คอยมาดูแลมันจนพวกดอกไม้เริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็เป็นทุ่งดอกไม้ไปซะงั้น”
“คุณเก่งมากเลยค่ะ”
“คุณนิตาครับ”
“คะ?”
“ผมรู้ว่าพูดแบบนี้มันอาจทำให้คุณรู้สึกแย่ แต่ผม...ชอบคุณนะครับ”
“.....”
“อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะ ผมชอบคุณจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดจะแย่งคุณมาจากผู้ชายคนนั้น เรื่องที่คุณแต่งงานแล้วผมเข้าใจดีแต่ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้เลย”
ฉันนิ่งเงียบและรอฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าใบหูเขาแดงขึ้นอย่างชัดเจน
“ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าคุณยังมีผมอยู่ ถ้าคุณไม่เหลือใครแล้วช่วยนึกถึงผมหน่อยได้ไหมครับ ไม่ต้องให้คำตอบตอนนี้ก็ได้ คุณจะใช้เวลาแค่ไหนผมก็ไม่ติด”
“คุณพศิณ”
“อย่าตัดโอกาสตัวเองนะครับ การที่ผู้ชายคนนั้นไม่เห็นค่าคุณ ไม่ได้แปลว่าคุณไม่มีค่าที่จะได้รับความรักจากใครสักคน คุณจะมีผมเสมอไม่ว่าจะสถานะเพื่อน เจ้านายหรือสถานะไหนก็ตาม”