บทที่ 1
แสนชัง
“ลาออก?”
หลังจากอ่านรายละเอียดในจดหมายที่ถูกยื่นมาจากมือของปวริศา ภาธรก็ร้องถามและเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าไม่ได้ดูตระหนกตกใจราวกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น
“ค่ะ”
“ไม่อยากอยู่ข้างฉันแล้วหรือหวาน” ชายหนุ่มถามอีกประโยคก่อนจะลอบยิ้มออกมา แววตาคมกริบฉายความร้าย
“อีกไม่นานคนของคุณจะมาเริ่มงาน”
เสียงสั่นตอบไปตามจริงและรู้ว่าชายหนุ่มรู้ถึงสิ่งที่หล่อนจะหมายถึง หญิงสาวไม่อยากอยู่ใกล้ให้ใจเจ็บ เพราะการถูกแทนที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำใจได้ในเร็ววัน และการถอยห่างให้เขามีความสุขมันก็ถูกต้องแล้ว
ที่สำคัญไม่คิดจะเรียกร้องอะไรจากชายหนุ่ม แม้กระทั่งหัวใจ เพราะรู้ว่าแม้ข้างๆ ใจของเขาก็ไม่ได้มีไว้ให้
“กลัวจะบาดใจ?”
ปวริศาเงียบ เพราะเขาพูดถูกเธอกลัวจะทนรั้งใจให้ไม่อิจฉาไม่ไหว
ตลอดสองปีที่อยู่ข้างเขาได้รับความเย็นชาและเงียบขรึม มันว่าเจ็บมากแล้ว ยิ่งตอนนี้ไร้สถานะ มันคงไม่ต่างจากไร้ตัวตน คงเหมือนมีมีดมาปักกลางอก
“ฉันอนุมัติให้ไม่ได้หรอก แล้วใครจะสอนงานคนของฉันล่ะ”
“หวานรู้ว่าคุณธรไม่ได้อยากให้หวานสอนงาน แต่จะทำให้หวานเจ็บ” หล่อนสบตาคู่คมกริบเพราะอยากมองให้เห็นถึงความจริงพานให้หัวใจต้องคันยิบ
“ฮื้อ เก่ง”
คนไร้ใจขานรับ เพราะปวริศาพูดถูกต้องทุกประการเขานั้นตั้งใจ ก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปใกล้คนที่เป็นอดีตไปแล้ว พร้อมหยิบปอยผมที่ร่วงหล่นระใบหน้าเศร้าขึ้นมาทัดหูให้ พลางโน้มใบหน้าลงกระซิบเสียงต่ำ
“ทนอยู่ต่อไปนะ เหมือนวิวาห์ที่ฉันต้องทนมาสองปี” มันทำให้ในหัวใจที่มีตะกอนแห่งความกรุ่นโกรธตีขึ้นเพราะวิวาห์ครั้งนั้นเขาถูกกระชากหัวใจออกไปไกล
ส่วนปวริศาก็เบี่ยงใบหน้าหนี ลมหายใจอุ่นร้อนกำลังเป่ารดใบหน้า
“ถ้าเข้าใจแล้ว นั่นประตู” และนี่คือการขับไล่ตรงๆ
“คุณธร”
ทั้งน้ำเสียงและสายตาส่งไปวอนขออยากให้เขาคิดใหม่ คนใจดำก็สวนกลับมาฉับไว
“ออกไป”
สิ้นวาจานั้นหญิงสาวก็มองด้วยแววตาตัดพ้อ และเห็นว่าเขาไม่ได้สะทกสะท้านใดๆสักนิด
“ค่ะหวานเข้าใจแล้ว”
สุดท้ายก็ต้องเลือกถอยห่าง และรู้ว่าต่อให้วิ่งหนีหายไปซ่อนตัวและเก่งแค่ไหน เขาก็คงมีวิธีหาทางให้กลับมาสยบอยู่ใต้เท้าได้อยู่ดี รู้ดีว่าพายุร้ายลูกใหญ่กำลังจะพัดถล่มมาเล่นงานให้ชอกช้ำหญิงสาวถอยร่นออกห่างพร้อมกำมือแน่น ไม่ใช่เพราะขุ่นเคือง แต่เพราะกำลังกลั้นความปวดร้าวและบังคับให้สองขาเดินต่อไปให้ไหว
เธอไม่รู้ว่าภาธรจะยอมยุติเกมบ้าๆ นี้เมื่อไหร่และไม่รู้ว่าอะไรที่มันจะหยุดก่อน ระหว่างหัวใจเธอและเขา
ไม่ทันจะพ้นวันให้ใจได้ฟื้นสภาพ ปวริศากลับต้องมาเจอความร้ายของภาธรซ้ำอีก
เข็มนาฬิกาบอกเวลาสิบหกนาฬิกา ข้อความสั้นๆ ถูกส่งมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของอดีตสามี
ปิ๊บๆ
‘14 พ.ย. ฤกษ์แต่งงานของฉัน’
ปวริศาตาร้อนผะผ่าว ทั้งที่หลายชั่วโมงที่ผ่านมาพยายามตั้งรับและบอกตัวเองให้แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาจะไม่เว้นว่างให้ได้เตรียมใจบ้างหรือ จะกระหน่ำซ้ำเติมกันถึงไหน
เพราะกำแพงที่หล่อนพยายามสร้างขึ้นเพื่อป้องกันความร้ายกาจไม่ได้สร้างมันให้เสร็จได้ในวันเดียว
ที่สำคัญตอนนี้ภาธรดูเหมือนไม่มีหัวใจมากขึ้นไปทุกขณะ
ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ปล่อยตัวเองให้จมกับมันเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนปาดน้ำตาที่คลอเบ้าทิ้งและสูดอากาศเข้าปอดก่อนจะลุกขึ้น พลันมุ่งตรงไปยังห้องเดิมอีกครั้ง
โชคร้ายที่คลาดกับเจ้าของบริษัท เพราะชายหนุ่มมีประชุมกับผู้ถือหุ้น
ปวริศาไม่ได้ลดความตั้งใจที่จะพบเขา เจ้าหล่อนรอที่หน้าห้องทำงาน เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมง จนกระทั่งล่วงเลยมาสู่เวลาสิบแปดนาฬิกา ผู้ประชุมต่างทยอยกันออกมาจากห้อง โดยเจ้าของบริษัทอย่างภาธรออกมาเป็นคนสุดท้าย
“คุณธร หวานมีเรื่องอยากจะขอ”
“ว่ามา”
เขาทิ้งตัวลงพิงเก้าอี้แล้วมอง พร้อมกับวางท่าอย่างสบายๆ เอาเข้าจริง หล่อนคิดว่าภาธรก็รู้ว่าเธอมาด้วยจุดประสงค์ใด
“หยุดส่งมันมาหาหวานหวานไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของคุณธรแล้ว” หญิงสาวบอกและปั้นดวงตาให้ดูนิ่งที่สุด ในเมื่อพันธะมันสิ้นสุดและใจเขาก็มีความชิงชัง มันก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของกันและกันอีก
ที่สำคัญเธอก็ไม่ได้สมัครใจจะรู้เรื่องของเขา
“ก็ฉันอยากให้เธอรู้”
ภาธรบอกพร้อมกับจับจ้องใบหน้าและดวงตาของคนที่ดูมีท่าทางแข้งกระด้างขึ้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
“อย่าแก้แค้นทำร้ายกันแบบนี้ได้ไหมคะ ในเมื่อคุณไม่เคยต้องการหวาน หวานก็จะไปให้แล้ว” ที่ผ่านมาแม้ว่าจะแต่งงานกัน หล่อนก็ไม่ได้ร้องขอให้เขารัก เพราะเจียมตัวดีว่าเขาแต่งเพราะเหตุผลใด
วิวาห์แสนขมในครั้งนี้มันเกิดขึ้นเพราะร่างสูงขัดความต้องการของคุณย่าไม่ได้ และเมื่อท่านสิ้นบุญ เธอก็จะปลดปล่อยพันธะนี้ให้
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ ความแค้นในใจจะไประบายออกที่ไหนดี” บุรุษตัวโตทำท่าทางขบคิดเอียงศีรษะไปทางซ้ายเล็กน้อยอึดใจต่อมาก็พูดออกมาทำให้ร่างของคู่สนทนาชาหนึบ
“หรือให้ฉันไประบายกับคุณสรวิศ ได้ข่าวว่ากลับมาแล้ว”
“คุณธรอย่าดึงคุณท่านมาเกี่ยว ต้องการให้หวานทำอะไรหวานจะชดใช้ให้” หญิงสาวส่ายหน้าฉับพลันพลางตัดพ้อ เชื่อว่าที่เขาบีบเธอด้วยวิธีนี้ เพราะรู้ดีว่าตนทั้งรักและเคารพผู้มีพระคุณคนนี้มาก
“อื้ม น่าจะสนุกดี” ชายหนุ่มแย้มยิ้มกว้าง“เป็นตัวแทนไปก่อนจะถึงวันแต่งงานของฉันละกัน”
ภายในอกระบมร้าวไปทั่ว เจตนาของเขาปวริศาทราบดีว่ามันคือการทำให้เจ็บ เพราะไม่มีใครหรอกที่จะอยากเป็นตัวแทนของใคร
ที่ผ่านมาไม่เคยคิดอยากจะเป็นตัวแทนของใคร หรือพยายามจะเป็นคนสำคัญของเขาเธออยู่ในที่ที่ภาธรอยากให้อยู่มาตลอด นั่นคือ นอกหัวใจ
“ที่นี่เลยไหม ว่าที่นางบำเรอของฉัน”
ภาธรถาม ชั่วประเดี๋ยวเดียว ดวงตาของชายหนุ่มก็สว่างขึ้นราวกับมีแผนการใหม่ มุมปากกระตุกยิ้มออกมา
“ไม่เอา เปลี่ยนที่ดีกว่า” พูดจบก็คว้าข้อมือบางแล้วดึงถลาให้เดินตาม
“จะพาหวานไปไหน” เพราะดวงตาที่เจิดจ้าของคนตรงหน้าทำให้ความกลัวมาจุกที่ใจจนแววตาไหวระริก ดูเหมือนว่าวินาทีนี้อดีตสามีพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นบทผู้ร้ายทุกขณะ
“คอนโดฯ ฉันไง”
ร่างสูงตอบเพื่อแถลงไข แต่มันเป็นราวกับประโยคสังหาร
พูดจบภาธรก็เฝ้ามองอากัปกิริยาของคนตรงหน้า แล้วก็ได้เห็นว่านัยน์ตาดำขลับของปวริศาเปลี่ยนไป มันส่อถึงความกลัว
“ไม่กล้าไปหรือ”
ปวริศาหลุบตาต่ำ แม้อยากจะให้เขาหยุดในสิ่งที่คิด ทว่าคงไม่มีทาง
“งั้นฉันก็คงต้องกลับไปคิดใหม่เรื่องคุณสรวิศ…”
เธอรู้ว่ากำลังถูกบีบให้จนมุม แม้ว่าจะเจ็บประหนึ่งโดนมีดกรีดลงกลางใจ หญิงสาวก็ต้องซ่อนหยาดน้ำตา“หวานจะไป แต่คุณธรจะไม่ได้เห็นน้ำตาของหวานสักหยด” ปวริศาทำใจเข้มแข็งแต่ปากก็ไม่เลิกสั่น
“งั้นดีลฉันจะเตรียมตัวรอดูมันเลยละหวาน”
ชายหนุ่มระบายยิ้มอย่างมีชัยเพราะกำลังบรรลุเป้าหมายก่อนจะดึงข้อมือบางอีกครั้ง ปวริศาจำต้องสืบเท้าตาม
ตลอดทางปวริศานิ่งเงียบและพยายามเก็บความรู้สึกสองเท้าที่ถูกบังคับให้เดินเริ่มช้าลงยามใกล้ห้องหมายเลข 1304 ห้องที่ภาธรไม่เคยให้หล่อนได้เหยียบเข้ามา เพราะมันมีของสำคัญของชายหนุ่มอยู่
วงหน้าเศร้าเจือนลงไปทุกขณะ
เขาไม่รอช้าให้เธอได้ทันเสียใจ เพียงเข้าห้องมาเขาก็บีบคางมนให้เชิดขึ้นแล้วบดริมฝีปากร้อนลงมา โดยไม่สนใจจะเปิดสวิตช์ให้ไฟสว่างขึ้น ภาธรดันร่างบางให้ชิดกำแพง สองมือก็รวบข้อมือบางขึ้นติดกำแพงกักขังอิสรภาพ
จากนั้นจึงเริ่มไล่ลงมาที่คอขบเม้มและฝากรอยไปทั่ว ปวริศาพยายามเก็บเสียง คนมีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากก็รู้ดีว่าสมควรจะทำอย่างไรให้ได้รับชัยชนะ และให้คนที่พ่ายแพ้เป็นปวริศา
กลิ่นหอมจากเนื้อกายที่ไม่ได้มีอะไรปรุงแต่ง บางครั้งมันก็ทำให้ภาธรหลุดจากอารมณ์กรุ่นๆ มานุ่มนวลได้
อื้ม...