ตอนที่ 4
ลูกชาย
“อ่าว.. ทำไมเป็นพี่ล่ะ!?”
ฉันหันไปมองตามเสียงของคนที่มาใหม่ เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นคนที่จะมาเป็นว่าที่ภรรยาของของผู้ชายอย่างปิติภัทร เธอมองเราสองคนด้วยสายตาที่แปลกใจ
“น้ำตาลมาผิดเวลาหรือเปล่าคะ”
“ไม่ค่ะ.. สวัสดีค่ะคุณน้ำตาล”
“สวัสดีค่ะ ดีใจจังที่พี่คนสวยก็ทำงานที่นี่”
“อ่อ.. ค่ะ”
“น้องน้ำตาลมาทำอะไรที่นี่ครับ”
“วันนี้น้ำตาลซื้อของมาฝากพี่เธียรเยอะเลยค่ะ”
ฉันมองผู้หญิงตรงหน้าที่มีความสดใสในตัวด้วยความรู้สึกเรียบเฉยไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรสักเท่าไหร่
“งั้นเข้าไปในห้องก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
“ม่านฟ้า.. เอ่อ.. ขอกาแฟสองแก้วนะ”
“ค่ะ”
ฉันตอบออกไปเรียบ ๆ ก่อนจะเดินหลบออกมาทำหน้าที่ของตัวเอง จนเมื่อเอากาแฟไปเสิร์ฟให้ทั้งสองคนเรียบร้อยแล้วถึงได้ออกมานั่งลงที่โต๊ะทำงานหน้าห้องอีกครั้ง
“เฮ้อ~ ม่านฟ้านะม่านฟ้า แกกำลังคิดฟุ้งซ่านอะไรอยู่”
ตืด~
ฉันปรายตามองไปยังมือถือที่กำลังส่งแรงสั่นจากสายเรียกเข้าด้วยความไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครที่โทรมาก็รีบเด้งตัวขึ้นมากดรับด้วยความเร็วแสง
“ฮัลโหล~”
“จริงหรอ.. กลับพรุ่งนี้แล้วหรอ ดีใจจังเลย”
“คิดถึงเหมือนกัน~ ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปรับที่สนามบินนะคะ”
“พี่ม่านฟ้าใช่ไหมคะ”
ฉันหันไปมองตามเสียงเรียกที่มาจากด้านหลัง เห็นว่าเป็นผู้หญิงที่ชื่อน้ำตาลคนนั้นเดินออกมาส่งยิ้มหวานให้ สองเท้าของเธอก้าวเดินมาใกล้ก่อนจะมาหยุดยืนส่งยิ้มหวานให้โดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้นะคะ วางก่อนน๊า” ฉันกดตัดสายมือถือก่อนจะหันไปมองผู้หญิงคนนี้ด้วยความสงสัย
“ใช่ค่ะ.. ฉันชื่อม่านฟ้าเป็นเลขาของคุณปิติภัทร.. คุณน้ำตาลต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
“เรียกน้ำตาลเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ”
“ไม่ดีมั้งคะ.. คุณน้ำตาลเป็นถึงลูกสาวของเจ้าสัวฉันไม่กล้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะน้ำตาลไม่ถือ”
“แต่ฉันถือ”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้กลับรู้สึกหงุดหงิดจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ยิ่งเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสของเธอแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่เข้าใจตัวเอง
“งั้น.. แล้วแต่พี่ก็แล้วกันค่ะอันนี้น้ำตาลให้”
หญิงสาวคนนี้ยื่นถุงของขวัญแบรนด์เนมมาให้ก่อนจะยิ้มหวานที่ดูว่าไม่ได้เสแสร้ง ฉันเหลือบตามองนิ่งก่อนจะใช้สายตาคมกริบมองเธออีกครั้ง
“คืออะไรคะ” เธอดูมีท่าทีอ้ำอึ้งไม่น้อยกับการกระทำนี้ แต่ก็ยังคงยื่นของชิ้นนั้นให้ไม่ได้ขยับไปไหน
“ของขวัญที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการค่ะ”
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ.. ยังไงคุณน้ำตาลก็เป็นแขกของเจ้านายฉัน ถือว่าเรารู้จักกันอย่างเป็นการแล้วแต่ของขวัญขออนุญาตไม่รับนะคะ”
“พี่ม่านฟ้ารังเกียจของขวัญของน้ำตาลหรอคะ” ผู้หญิงคนนี้ยังคงยื่นถุงของขวัญนั้นมาให้
“เขาไม่เอาก็ไม่ต้องไปยัดเยียดหรอกครับ”
เขาเดินตามเธอออกมาก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งหยิบถุงของขวัญนั้นวางไว้บนโต๊ะของฉันด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“แบบนี้ก็ถือว่าน้องน้ำตาลให้แล้ว.. ส่วนคุณเลขาเขาจะรับหรือไม่รับก็แล้วแต่เขา เราไปกันดีกว่าครับ”
ฉันมองเขาด้วยท่าทางของคนไม่สบอารมณ์ตามหลังพวกเขาไปนิ่ง ๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ใช้สายตาคมกริบมองทั้งสองเดินออกไปด้วยสายตาเรียบเฉย
“บ่ายมีประชุมกับคุณจอห์นกลับมาทันไหมคะท่านประธาน”
“ยกเลิก!”
“ค่ะ!” สิ้นสุดคำพูดของฉันปิติภัทรก็พาว่าที่ภรรยาของเขาเดินออกไปทันที
ฉันทำได้เพียงแค่มองทั้งสองจนสุดสายตา ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะของตัวเองอีกครั้ง สายตาจ้องมองไปที่ถุงของขวัญที่ผู้หญิงคนนี้นำมาให้ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมาเปิดดูเห็นว่าเป็นสร้อยเพชรจี้หยดน้ำเส้นหนึ่งที่สวยมากจริง ๆ
ด้านในมีการ์ดใบหนึ่งที่ถูกเขียนด้วยลายมือฉันหยิบมันขึ้นมาอ่านเนื้อหาด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง
‘ของขวัญที่พบกัน’ ดูก็รู้ว่าสร้อยเส้นนี้ถูกซื้อมาให้กับเลขาของปิติภัทร ต่อให้ตรงนี้เป็นฉันหรือคนอื่นสร้อยเส้นนี้ก็ต้องมีเจ้าของอยู่ดี
“หึ! เข้าหาคนด้วยเงินตามฉบับลูกคนรวยจริง ๆ”
*///*
ครืด~
“ฮัลโหล”
‘ลืมหรือเปล่าว่าวันนี้ต้องมารับพี่’
“ลืมไปเลย!”
‘ยัยบื้อเอ๊ย!’
ฉันยกมือถือออกห่างจากหูทันทีที่ได้ยินเสียงของพี่ธันวา ซึ่งเป็นพี่ชายของฉันที่แผดเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ สายตาของฉันจ้องมองไปที่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนหงุดหงิดขยี้ผมตัวเองอย่างน่าขบขันอยู่ไม่ไกลนัก ฉันตัดสายของเขาทิ้งก่อนจะรีบเดินไปหาด้วยความคิดถึง
“มาแล้ว!”
ฉันตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมทั้งสับขาทั้งสองข้างวิ่งไปอุ้มเด็กน้อยวัยห้าขวบเศษขึ้นมากอดด้วยความคิดถึง ก่อนจะหันไปเห็นท่าทางที่หงุดหงิดของพี่ชายตัวเอง
“เดี๋ยวนี้รู้จักโกหก!”
พี่ธันวาประเคนมะเหงกมาที่หน้าผากของฉันหนึ่งที ก่อนจะหันไปลากกระเป๋าเตรียมพร้อมจะกลับบ้านด้วยความเร่งรีบ
“พี่จะรีบไปไหนเนี่ย”
“กลับบ้าน”
“คุณลุงธันวาหงุดหงิดที่พี่เว่ยเอินไม่ยอมมากับคุณลุงครับ”
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยห้าขวบเอ่ยออกมาอย่างล้อเลียน ฉันเหลือบตาไปมองพี่ชายตัวเองก็เห็นว่าเขามีอาการไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“เว่ยเอิน.. ผู้หญิงที่พี่ตามจีบมาหลายปีน่ะหรอ”
“ไม่ต้องอยากรู้มากได้ไหม ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“ทำไม! อยากรู้จักจริง ๆ เลยผู้หญิงที่สามารถทำให้พี่ชายของฉันเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนี้หน้าตาเป็นยังไงนะ”
ฉันอุ้มเตชินลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดินตามหลังของพี่ชายที่ลากกระเป๋าออกไปด้วยท่าทางของคนอารมณ์ไม่ดี
“ลุงของลูกนี่ไม่ไหวเลยเนาะ.. ผู้หญิงคนเดียวก็จีบไม่ติด”
ฉันแกล้งทำเป็นคุยกับลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ดังหน่อย ทำให้พี่ธันวาหันมาแยกเขี้ยวใส่ชี้หน้าด้วยท่าทางไม่จริงจังนัก ก่อนจะยัดตัวเองลงไปในรถที่จอดไว้แล้วขับออกมาทันที
“ได้โรงเรียนหรือยัง” ทันทีที่พวกเรามาถึงบ้าน พี่ธันวาก็เริ่มถามเกี่ยวกับโรงเรียนของลูกชายทันที
“ได้แล้ว”
“ที่ไหน.. ปลอดภัยไหม.. ไกลหรือเปล่า”
“ไม่ไกล.. พี่ชบาไปรับไปส่งได้”
“อือ.. งั้นก็ดี แล้วนี่พี่ชบาไปไหน”
“พอรู้ว่าตาหนูกลับมาวันนี้ ก็ออกไปซื้อของมาทำอาหารให้เยอะแยะเลยน่าจะอยู่ในครัวมั้ง”
เพราะพี่ชบานั้นเลี้ยงเตชินมาตั้งแต่เกิด ทันทีที่เจ้าเด็กน้อยคนนี้ได้ยินว่าแม่นมของเขาอยู่ที่ไหน ก็รีบวิ่งตัวกลมไปหาแทบจะทันที
“ระวังล้มนะลูก”
ฉันมองลูกชายที่วิ่งไปในครัวจนลับสายตา ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าของพี่ชายตัวเองที่ดูเหมือนคนอกหักอย่างใส่ใจ
“อยากเล่าให้ฟังไหม”
ฉันเดินตามพี่ชายมานั่งลงบนโซฟากลางห้องรับแขก ก่อนจะเปิดทีวีจอใหญ่หันไปเอ่ยถามพี่ชายอย่างไม่ได้ใส่ใจคำตอบของเขามากนัก
“ไม่มี”
“อือ.. งั้นก็เลิกทำหน้าเหมือนหมาหงอยไม่มีเจ้าของได้ละ”
“ปากแกนี่มัน!”
“ได้พี่มาไง.. ได้มาเยอะด้วย ภูมิใจสิ!” ฉันหันไปยิ้มหน้าทะเล้นให้เขา ก่อนจะหันไปจ้องจอทีวีต่อ
“เมื่อไหร่จะออกจากบริษัทนั้นสักที”
ทุกอย่างชะงักเมื่อเจอคำถามของพี่ชาย ก่อนก็ตีมึนหยิบส้มมาปอกเปลือกกินหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ได้สนใจจะตอบคำถามของเขา
“ม่านฟ้า! พ่อถามพี่หลายรอบแล้วนะเมื่อไหร่แกจะไปทำงานที่บริษัท”