4 | รู้จักเธอมากขึ้น

1501 Words
4 รู้จักเธอมากขึ้น วันต่อมา... ลัมโบร์กินีอะเวนทาดอร์สีดำด้านขับมาจอดที่ลานจอดรถในวัดแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพ นายแพทย์ปรัชวิชญ์คว้าพวงหรีดที่นั่งกับเขามาตลอดทาง และเปิดประตูปีกนกสวิงขึ้นก้าวขาลงจากรถ ทันทีที่เขาลงมานักศึกษาที่อยู่ในศาลาหันขวับมามองทันที รวมถึงญาติๆของผู้หญิงที่นอนเป็นผักใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ที่บ้านของเขาด้วย “แม่ๆ หมอคนนั้นมาทำไม เรื่องมันจบแล้วไม่ใช่เหรอ?” แพรวถามคนเป็นแม่อย่างร้อนอกร้อนใจ “น่าจะมาไหว้ศพปกติมั้ง ถือพวงหรีดมาด้วย” “แพรวไปสืบมาเขาไม่ธรรมดาเลยนะ จะตามมางานศพทุกศพที่ชันสูตรเลยเหรอ” สุเทพคว้าแขนลูกสาวตัวเองแล้วดึงมาใกล้ๆ เพราะอาการลุกลี้ลุกลนที่แก้ไม่หายดูมีพิรุธซะเหลือเกิน “เงียบน่าแพรว ทำตัวให้ปกติ อีกสองวันก็เผาแล้ว” จะให้ปกติได้ยังไง ร่างสูงเดินเข้ามาในศาลาท่ามกลางสายตาของทุกคน แต่สายตาเขากลับจ้องมาที่ครอบครัวเธอด้วยสายตานิ่งลึกยากจะค้นความหมาย ยิ่งใกล้เท่าไหร่ยิ่งน่ากลัว เหมือนเขากำลังใช้มือใหญ่บีบคอทุกคนอยู่จนอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนรู้สึกไม่ต่างกัน แต่คนที่ตั้งรับได้ก่อนคือป้าของใบชา แพรพรรณยกมือไหว้แล้วปั้นยิ้มต้อนรับ “สวัสดีค่ะคุณหมอ ขอบคุณนะคะที่มาแสดงความเสียใจด้วย” ริมฝีปากของคุณหมอหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อย มองผ่านใบหน้าและรอยยิ้มปลอมเปลือกไปที่รูปถ่ายหน้าศพ เขาเพิ่งเคยเห็นรูปใบชาตอนเธอยิ้มอย่างสดใส อ่านวันเกิดที่จะถึงในสองสัปดาห์ข้างหน้า และวันสุดท้ายของชีวิตเมื่อวาน สำรวจเสร็จก็ส่งพวงหรีดให้แพรพรรณด้วยมือข้างเดียว เพราะอีกมือกำลังล้วงกระเป๋ากางเกงควบคุมแอพพลิเคชันบันทึกเสียงและตัดเสียงรบกวนอยู่ “ผมเสียใจด้วย” สายตาเขาสื่อถึงแบบนั้นที่ไหน ทั้งสามคนชาวาบไปทั้งตัว “ค่ะคุณหมอ ขอบคุณมากๆค่ะ หลานสาวฉันไปสบายแล้วจริงๆ” “ใช่ หลานสาวคุณไปสบาย รายต่อไป... และต่อไปคงจะเป็นพวกคุณสินะ” เขาพูดอะไร?! แพรวจับมือแม่เธอหมับเขยิบไปยืนตัวชิด หมอปรินซ์จึงค่อยๆระบายยิ้มออกมาช้าๆ เขาไม่รู้สึกรู้สาหรือสนใจกาลเทศะ เพราะคนพวกนี้ไม่สมควรจะได้รับ “โทษที ผมแค่... ไม่ถนัดปลอบประโลมใคร” “มะ ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ คุณหมอคงไม่ค่อยได้รักษาคนไข้ปกติเท่าไหร่ คงไม่ค่อยได้คุยกับใครสินะคะ” สายตานิ่งๆจดจ้องไปที่คนพูดแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นั่นสินะ... แต่สักวันนึงเราต้องเจอกันแน่ๆ” “...” แล้วริมฝีปากนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม “จะยกให้พวกคุณเป็นคนไข้พิเศษ” ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นเขาก็เดินไปนั่งกับแขกคนอื่นปกติ ทว่าคนช่างสังเกตอย่างเขาเลือกเก้าอี้ตัวที่ใกล้กับคนที่ดูเสียใจที่สุดในเวลานี้ เพราะที่มาที่นี่ไม่ได้มาจับโจร เขาอยากรู้จักผู้หญิงชื่อ ‘ใบชา’ มากขึ้น และรู้ว่าคนรอบข้างเธอมีใครบ้าง ใครแสดงออกกับเธอแบบไหน ใครพูดถึงเธอยังไง เก้าอี้ที่นั่งลงอยู่แถวหลังเยื้องนักศึกษาผู้หญิงสองคน ทั้งคู่กำลังกอดกันร้องไห้เหมือนใจจะขาด คนขวาผมยาวประบ่าสีมะฮอกกานี อีกคนรวบผมยกสูงผมดำสนิท “ทำไมเป็นแบบนี้วะมึง ฮือๆ ใบชามันไม่ได้อ่อนแอแบบนี้นะเว้ย” “กูรู้ กูเป็นเพื่อนมันมาตั้งแต่ม.ปลาย วันที่พ่อแม่มันไม่อยู่มันก็ผ่านมาได้และเข้มแข็งมาก แต่เรื่องนี้ที่มันตัดสินใจทำ แค่เลิกกับพี่โดมเองนะมึง” หูฟัง แต่สายตาเขามองไปที่ผู้ชายชื่อโดมคนนั้นที่กำลังยืนอยู่กับกลุ่มเพื่อน หน้าตาไม่ได้เศร้าเท่าไหร่ ดูหวาดระแวงด้วยซ้ำไป แถมยังมองมาที่เขาเป็นระยะ “ใบชาดูไม่ได้รักพี่โดมเลย คบด้วยเพราะพินัยกรรมพ่อแม่อ่ะ บอกว่าพี่โดมคือลูกชายเพื่อนอะไรสักอย่าง กูแม่งเจ็บใจมาก คนมีค่าอย่างมันมาจบชีวิตเพราะผู้ชายเนี่ยนะ” “อ่านจดหมายลาตาย กูก็ว่ามันแปลกๆอยู่นะ พร่ำเพ้อดูไม่ใช่ใบชา และปกติใบชาก็สู้คนออก เอาอะไรมาอ่อนแอวะ” นั่นเหรอนิสัยเธอ... สู้คน สู้จนตัวตายเลยสินะ... “กูอยากดูหน้าใบชาครั้งสุดท้าย ป้าพรรณก็ไม่ให้ดูบอกรับไม่ได้ และอยากให้ใบชามันไปสบาย มึงว่ามันแปลกๆไหม จดหมายก็สำบัดสำนวนเหมือนแต่งนิยาย” ผู้หญิงผมสั้นประบ่ารีบปาดน้ำตาแล้วยกมือถือขึ้นมาอ่านจดหมายที่ส่งต่อๆกันมาอีกรอบ แต่ยิ่งอ่านไหล่สองข้างก็ยิ่งสั่นระริก จากนั้นก็ทนไม่ไหวยกมือปิดปากร้องไห้สะอื้นออกมา จนต้องวางมือถือลงบนตักตัวเอง “ฮือๆ ดูไม่ใช่ใบชาเลย” “ก็ใช่ไง” “น้ำไหมครับหมอ” ผู้หญิงสองคนนั้นหันมามองเขาทันที เพราะได้ยินเสียงโดม ผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งถือถาดยกน้ำมาเสิร์ฟให้ ใจจริงก็อยากมากวนโอ๊ยที่หลุดจากผู้ต้องสงสัย ทว่าหมอปรินซ์ไม่แม้แต่ปรายตามอง เขารับแก้วมาและวางลงข้างๆ จากนั้นสายตาที่มองตรงไปที่รูปหน้าศพก็ค่อยๆเคลื่อนไปสบตากับเพื่อนของใบชาทั้งสอง “เห็นแล้วใช่ไหมครับว่าผมไม่ผิด” “...” เขาไม่ตอบ “แต่ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจว่าหมอทำตามหน้าที่ และวันนี้ก็ขอบคุณที่มาครับ” เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ในขณะนั้นคนพูดที่ยืนอยู่ไม่รู้ว่าทุกประโยคหมอปรินซ์ส่งสายตาบางอย่างให้ผู้หญิงสองคนข้างหน้า พวกเธอรู้ถึงสัญญาณที่ฉายผ่านแววตาจึงรีบหันกลับทำเป็นไม่สนใจ เขาเองก็ไม่อยากเสวนากับหมาที่ไหน นิ้วชี้เรียวดันแว่นที่สันจมูกและลอบหัวเราะออกมาเบาๆ หึ คนพวกนี้น่าสมเพชสิ้นดี จนสุดท้ายโดมหงุดหงิดที่ยุยงไม่ได้ เขารีบสะบัดหน้าเดินออกไปรวมกับลุงและป้าของใบชา และเพียงเท่านั้นผู้หญิงสองคนก็หันขวับมาทันที “ขอโทษนะคะ คุณเป็นหมอเหรอคะ” เขาพยักหน้า “เป็นหมอที่ชันสูตรศพใบชาเหรอคะ?” อีกคนเร่งถามและเขาก็พยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นยืน สายตาที่ปรายมองเพียงนิดส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ ก่อนจะสอดมือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินนำออกไป ร่างสูงเดินนำไปที่รถลัมโบร์กินีที่จอดอยู่หยิบมือถือออกมากดบันทึกเสียงจากนั้นอัปโหลดไฟล์แรกเข้าไดรฟ์ไว้ ก่อนจะเริ่มบันทึกใหม่อีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงรองเท้าเดินตามหลังมา สองสาวนักศึกษามองรถหรูสลับกับนายแพทย์หนุ่มหล่อที่อ้างตัวเป็นหมอชันสูตรศพเพื่อนอย่างตกตะลึง เขาไม่มีความธรรมดาอยู่เลย รถ หน้าตา แผ่นหลังกว้างๆและความสูง กว่าจะหยุดชื่นชมในหัวได้ก็ตอนคนตัวสูงที่หันหลังอยู่หันกลับมามองหน้าทั้งคู่ด้วยสายตานิ่งสนิท “ส่งจดหมายลาตายของใบชาให้ฉัน” ประโยคแรกก็ออกคำสั่ง “คะ คุณหมอรู้จักใบชาส่วนตัวเหรอคะ” หนึ่งในเพื่อนของเธอถาม “กำลังจะรู้จัก...” ยังไงนะ? สุดท้ายก็มีคนทนไม่ไหว ตัดสินใจเข้าเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจตรงๆ “ตอนชันสูตรหมอเจออะไรแปลกๆไหมคะ ที่หมอขอจดหมายลาตายหมอต้องการจะทำอะไร ถ้าจะหาหลักฐาน มลคิดว่ามันไม่ปกติจริงๆค่ะ อยากรู้อะไรเพิ่มเติมจากหมอด้วย” เขาจำใส่สมองทันทีผู้หญิงผมยาวสีดำสนิทตัวสูงตาคมคนนี้ชื่อมล ส่วนอีกคนที่ผมสั้นนั้น... “ชัญญ่าก็คิดว่าแปลกมากค่ะ ที่หมอมาที่นี่หมอคงมีหลักฐานอะไรใช่ไหมคะ ช่วยใบชาได้ไหม พ่อแม่ใบชาก็ตายแปลกๆ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “แปลก?” “ใช่ค่ะ ไฟไหม้โกดังจากไปพร้อมกันเลย ตอนนั้นเป็นการสูญเสียที่หนักมากของใบชา พวกเราเลยไม่เชื่อว่าเพื่อนจะฆ่าตัวตายเพราะผู้ชายอัปรีย์คนนั้นคนเดียว” มลแตะแขนชัญญ่าให้ระวังคำพูด “มึงเบาๆ เดี๋ยวก็ถึงหูทางนั้นหรอก” ปรินซ์ไม่สนใจเรื่องอื่น เขายกมือถือขึ้นมาและพยักหน้าอีกครั้งหนึ่ง “ส่งจดหมายลาตายมา แล้วอยู่เฉยๆ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD