ตอนที่ 6
หลังจากออกจากคฤหาสน์เทวาลัย ความคิดของสิงขรยังคงวนเวียนอยู่กับสุริยาวดี ศิลาจารึกโบราณ และความรู้สึกผูกพันอย่างประหลาดที่เขามีต่อเกตุศิรินทร์ และคำเตือนของเธอที่ดังก้องอยู่ในหู ราวกับเป็นลางสังหรณ์ถึงอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น ทั้งเรื่องคดีฆาตกรรมที่ยังคงเป็นปริศนา และเรื่องราวประหลาดที่สุริยาวดีเล่าเกี่ยวกับอดีตชาติ... ทุกอย่างมันซับซ้อนจนเขาแทบไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน
เมื่อออกมาจากคฤหาสน์เทวาลัย สิงขรสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดลึกๆ พยายามสลัดความรู้สึกสับสนวุ่นวายในหัวออกไป เขาต้องกลับไปตั้งหลักและคิดทบทวนทุกอย่างอีกครั้ง
12.00 น.
ช่วงพักเที่ยง สิงขรตัดสินใจตรงไปหาคมกฤชที่บ้าน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาแลกเปลี่ยนและวิเคราะห์ร่วมกัน
“ไอ้สิงห์! ทางนี้!” เสียงคมกฤชดังมาจากข้างในบ้าน หลังเพื่อนสนิทจอดรถได้ไม่นาน
“เป็นยังไงบ้างวะ เมื่อคืนได้คุยกับแม่นางสวยพิศวงนั่นมา?” คมกฤชถามด้วยความอยากรู้
สิงขรส่ายหน้า “มันซับซ้อนกว่าที่คิดว่ะ”
“ซับซ้อนยังไง?”
“เธอ... พูดถึงเรื่องภพชาติ”
คมกฤชเลิกคิ้วสูง “ชาติภพ? หมายความว่าไง?”
สิงขรถอนหายใจ “เรื่องมันยาวเอาไว้กูเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้เอาเรื่องคดีก่อน”
คมกฤชหยิบตำราปกหนังเก่าแก่เล่มหนึ่งลงมาจากชั้นหนังสือ พลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว
“ในตำนานหลายแห่งก็มีการกล่าวถึงพิธีกรรมที่ต้องใช้เลือดและหัวใจเพื่อความเป็นอมตะ หรือเพื่อพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ” คำพูดของคมกฤชยิ่งตอกย้ำความสงสัยในใจสิงขร รูปแบบการฆ่าที่เหี้ยมโหด การควักหัวใจเหยื่อ... มันอาจไม่ใช่แค่ฆาตกรโรคจิตธรรมดาอย่างที่เขาเคยคิด
“แล้วศิลาจารึกแผ่นนั้นล่ะ มึงพอจะมีความรู้เรื่องอักษรโบราณพวกนั้นบ้างไหม?” สิงขรถาม พลางนึกถึงภาพถ่ายที่แอบส่งให้เพื่อนเมื่อคืน
“กูไม่แน่ใจว่ะ มันดูเก่าแก่มาก อาจจะเป็นอักษรที่เลิกใช้ไปนานแล้ว แต่กูพอจะรู้จักนักภาษาโบราณเก่งๆ อยู่คนนึง เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะลองติดต่อเขาดู” คมกฤชตอบอย่างไม่มั่นใจนัก
สิงขรพยักหน้าช้าๆ “ดี ถ้าอย่างนั้นฝากมึงด้วยนะ” เขายังคงเชื่อมั่นในความรู้ความสามารถของเพื่อนรักคนนี้เสมอ
เช้าวันต่อมา สิงขรเดินทางไปยังห้องทำงานของคมกฤชแต่เช้าตรู่ เขาต้องการทราบผลการค้นคว้าของเพื่อนเกี่ยวกับสัญลักษณ์และตำนานโบราณ
“มีอะไรคืบหน้าบ้างรึเปล่า?” สิงขรถามทันทีที่เดินเข้าไปในห้องทำงานของเพื่อน
คมกฤชนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ดวงตาจ้องมองหน้าจออย่างตั้งใจ เมื่อเห็นสิงขร เขาก็รีบหันมา
“กูเจอข้อมูลที่น่าสนใจว่ะ ไอ้สัญลักษณ์วงกลมซ้อนกันที่มีเปลวไฟตรงกลาง มันเป็นสัญลักษณ์โบราณที่เกี่ยวข้องกับลัทธิบูชาไฟ และยังมีความเชื่อมโยงกับเรื่องของความเป็นอมตะด้วย” คมกฤชอธิบาย
“ความเป็นอมตะ?” สิงขรทวนคำนั้นด้วยความสนใจ
“เออ ในตำนานบางเล่มกล่าวว่าสัญลักษณ์นี้เป็นกุญแจสู่ชีวิตนิรันดร์ หรือพลังวิเศษบางอย่าง” คมกฤชชี้ไปยังภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
“แล้วดูนี่ รูปที่มึงถ่ายมา สร้อยคอของคุณสุริยาวดีในภาพเหมือนก็มีสัญลักษณ์นี้เหมือนกันเป๊ะ”
สิงขรเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ภาพบนหน้าจอเป็นภาพที่เขาแอบถ่ายสุริยาวดีมาจากคฤหาสน์เทวาลัย สัญลักษณ์นั้นปรากฏอยู่บนสร้อยคอของหญิงสาวในภาพเหมือนอย่างชัดเจน
“แล้วตำนานเจ้านางมนทิราณีเทวีล่ะ มึงเจออะไรเพิ่มเติมบ้างหรือเปล่า?” สิงขรถามต่อ
“กูเจอเรื่องราวที่น่าสนใจหลายอย่างเกี่ยวกับนาง ว่ากันว่านางมีความงามเป็นเลิศ และมีพลังเวทมนตร์คาถา แต่ก็มีบางตำนานที่เล่าว่านางกระหายในอำนาจและความเป็นอมตะ และต้องใช้พิธีกรรมบางอย่างที่น่ากลัวเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น” คมกฤชเล่า
“พิธีกรรมที่น่ากลัว?” สิงขรขมวดคิ้ว
“ใช่ ในบางตำนานกล่าวถึงการบูชายัญด้วยชีวิต และการใช้เลือดหรือหัวใจเพื่อเสริมพลัง” คำพูดของคมกฤชทำให้สิงขรรู้สึกเย็นเยียบไปถึงสันหลัง ความเชื่อมโยงระหว่างตำนาน การฆาตกรรม และสุริยาวดีเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วเรื่องนักภาษาโบราณล่ะ เขาว่ายังไงเกี่ยวกับศิลาจารึก?” สิงขรถาม
“เขากำลังตรวจสอบให้อยู่ น่าจะรู้ผลในวันนี้แหละ” คมกฤชตอบ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น โทรศัพท์ของคมกฤชก็ดังขึ้น ปลายสายคือเสียงของนักภาษาโบราณที่คมกฤชติดต่อไว้
“สวัสดีครับอาจารย์ ว่ายังไงครับ?” คมกฤชถามด้วยความคาดหวัง หลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จ คมกฤชก็รีบอธิบายให้เพื่อนฟัง
“อาจารย์บอกว่าอักษรบนศิลาจารึกเป็นอักษรโบราณที่ใช้ในอาณาจักรเก่าแก่แห่งหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีก่อน และใจความสำคัญที่อ่านได้คือ... มีการกล่าวถึงราชินีผู้ทรงอำนาจและเป็นอมตะ...”
สิงขรและคมกฤชสบตากัน ความเงียบปกคลุมห้องชั่วครู่ ทั้งสองรู้ดีว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้ความจริงบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัว
ในห้องทำงานที่เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารและรูปถ่ายคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง สิงขรนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ นวดขมับเบาๆ ความคิดในหัวยังคงสับสนวุ่นวายกับเรื่องราวที่คฤหาสน์เทวาลัย โทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นขัดจังหวะความคิด สิงขรคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมา
“ไอ้สิงห์! กูติดต่ออาจารย์ฌองได้แล้ว!” เสียงคมกฤชดังมาจากปลายสายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“แล้วอาจาย์ว่าไงบ้าง?” สิงขรรีบถามกลับไปอย่างมีความหวัง
“อาจารย์บอกว่าอักษรบนศิลาจารึกนั่นเป็นอักษรโบราณจริงๆ เก่าแก่มาก น่าจะอยู่ในช่วงเดียวกับอาณาจักรขอมโบราณเมื่อหลายร้อยปีก่อน!” คมกฤชเน้นย้ำด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วอาจารย์พอจะแปลออกไหม?” สิงขรถามอย่างมีความหวัง
“อาจารย์บอกว่าต้องใช้เวลาศึกษาหน่อย แต่มีสัญลักษณ์บางตัวที่อาจารย์พอจะคุ้นเคยบ้างแล้ว อาจารย์นัดกูเข้าไปคุยรายละเอียดพรุ่งนี้”
“ดีมากไอ้คม มึงรีบไปตามนัดอาจารย์เลยนะ ถ้ามีความคืบหน้าอะไรก็รีบบอกกูด้วย” สิงขรสั่ง
หลังจากวางสายจากคมกฤช สิงขรก็เรียกจ่าเดชเข้ามาในห้อง
“เมื่อคืนมีรายงานอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมไหม?”
“ไม่มีครับสารวัตร ทุกอย่างเงียบสนิท” จ่าเดชรายงาน
ความเงียบในคืนวันเพ็ญที่ผ่านมาทำให้สิงขรรู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วฆาตกรจะลงมือในคืนพระจันทร์เต็มดวงเสมอ หรือว่าสุริยาวดีกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่?
“จ่า ช่วยตรวจสอบประวัติของสุริยาวดี อธิสรให้ละเอียดอีกครั้ง เน้นไปที่ข้อมูลในอดีต หรือความเชื่อมโยงกับบุคคลที่มีความรู้เรื่องโบราณคดี” สิงขรสั่ง
“ครับสารวัตร”