หลี่เฉียงออกไปจัดการเรื่องเช่าเกวียนวัวที่จะเข้าเมือง หว่านหนิงนางส่งเงินให้เขาไปก่อนสิบอิแปะ เพื่อนำไปจ่ายค่าเกวียนวัว ส่วนที่เหลือจะให้ในวันพรุ่งนี้
“ท่านแวะซื้อข้าวสารในหมู่บ้านมาให้ข้าก่อนสักหนึ่งจิน พรุ่งนี้เช้าข้าจะได้ทำอาหารให้ท่านก่อนออกไปขายปลา”
“ได้” หลี่เฉียงแบมือขอเงินเพิ่ม
“เท่าใด”
“ข้าก็ไม่รู้” เขาเคยซื้อของพวกนี้เสียที่ไหน
“เช่นนั้นเอาไป แล้วเอากลับมาคืนด้วย” นางส่งถุงเงินที่เหลืออีกสามสิบตำลึงให้เขา
“รู้แล้ว เงินเจ้าข้าไม่เอาหรอก” หลี่เฉียงเบ้ปากอย่างไม่พอใจ เงินไม่กี่สิบอิแปะเขาจะเอาไปทำไม
“แล้วรีบกลับมาด้วย อย่าได้แวะที่ใดเด็ดขาด” นางเอ่ยเตือนเขาก่อนที่จะออกจากเรือนไป
อาหารที่หว่านหนิงนางทำไว้เพียงพอให้กินได้ถึงมื้อเย็นนางจึงไม่ต้องเหนื่อยทำเพิ่ม เมื่อเก็บกวาดเรือนในส่วนที่เหลือต่อจากเมื่อวานแล้ว
พอหลี่เฉียงกลับมาที่เรือนพร้อมกับข้าวสารหนึ่งจิน แล้วนำถุงเงินที่ว่างเปล่ากลับมาคืน นางจึงได้รู้ว่าข้าวสารมีราคาจินละสามสิบอิแปะ
“เห้อ สามสิบอิแปะ ได้มาหนึ่งจิน จะกินได้กี่วัน” นางมองข้าวสารในถุงที่หลี่เฉียงส่งมาให้นาง
“เอาเถิด พรุ่งนี้ข้าจะซื้อในเมืองมาให้มากเสียหน่อย ของในเมืองย่อมต้องถูกกว่า เจ้าก็อย่าได้เศร้าใจนักเลย พรุ่งนี้ขายปลาได้ เงินทั้งหมดข้าจะให้เจ้าเก็บไว้”
“ก็ต้องเป็นข้าที่เก็บ หากให้ท่านเก็บคงได้ลงไปอยู่ในไหสุราหรือไม่ก็หอพนัน” นางรับถุงเงินที่ว่างเปล่ากลับมาพร้อมทั้งนำข้าวสารไปเก็บ
หว่านหนิงรีบไปอาบน้ำ เพื่อจะเข้านอน พรุ่งนี้นางยังต้องลุกขึ้นมาทำอาหาร และช่วยหลี่เฉียงจับปลาใส่ถังเพื่อนำไปขายอีก
“หนิงหนิง เจ้ากลับมานอนที่ห้องเถิด” หลี่เฉียงเรียกนางไว้ เมื่อเห็นว่านางจะเดินเข้าไปห้องด้านข้าง
“ข้าเตรียมผ้าห่มให้ท่านแล้วอย่างไรเล่า”
“ข้ารู้ ข้าไม่อยากนอนผู้เดียว”
“เหอะ กลิ่นสุราจากตัวของท่านเหม็นเกินกว่าที่ข้าจะนอนด้วยได้”
แม้วันนี้เขาจะไม่ได้ออกไปดื่มสุราแล้ว แต่กลิ่นที่สะสมมานานก็ไม่อาจจางหายไปได้ในวันเดียว
“ไม่เห็นเหม็นเสียหน่อย” เขายกแขนเสื้อขึ้นดม
“แต่ข้าเหม็น ไว้ท่านเลิกสุราได้เมื่อใดค่อยว่ากันอีกที” นางรู้ว่าวันนี้ที่เขาไม่ออกไปคงไม่มีเงินให้ซื้อดื่ม แต่คนเช่นหลี่เฉียงก็คงไม่อาจเลิกได้ในวันสองวันนี้อย่างแน่นอน
และอีกอย่างนางไม่ใช่ซูหว่านหนิง คงไม่จำเป็นจะต้องร่วมเตียงกับเขาอีกแล้ว
“วันนี้ข้าไม่ได้ดื่มจะมีกลิ่นสุราได้อย่างไร”
“มันอยู่ในเลือดของท่าน ลมหายใจของท่านยามที่ท่านพูดก็มีแต่กลิ่นสุราออกมา”
หว่านหนิงมองเขาอย่างไม่พอใจ คนดื่มกับคนไม่ดื่มย่อมได้กลิ่นไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
“เอาเถิด ต่อไปข้าจะไม่ดื่มแล้ว เจ้าต้องรับปากข้า หากไม่มีกลิ่นสุราเจ้าต้องกลับมานอนที่ห้องเดิม”
“อืม” นางรับปากไปส่งๆ ก่อนจะเดินเข้าไปห้องด้านข้างเพื่อพักผ่อน
ก่อนฟ้าสว่างหว่านหนิงนางลุกขึ้นมาจัดการหุงข้าว ทอดปลาที่ตากแดดไว้เมื่อวาน นางเตรียมถังไม้เพื่อใส่ปลาไว้ให้หลี่เฉียงอีกหลายใบ
หลี่เฉียงวันนี้เขาทำตัวดีไม่น้อย เมื่อหว่านหนิงเตรียมถังน้ำเสร็จเขาก็ลุกออกจากห้องมาแล้ว
“ท่านไปเติมน้ำใส่ถังทุกใบ ไม่ต้องเต็มเล่าประเดี๋ยวจะหกเลอะเทอะระหว่างทาง”
“อืม” เขาเดินเข้าไปหยิบถังน้ำสองใบแล้วเดินไปที่ลำธารเพื่อตักน้ำ หว่านหนิงมองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างชื่นชม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงดีไม่น้อย นางจะได้ไม่ต้องคอยระแวงว่าเขาจะกลับไปเล่นพนันจนต้องขโมยเงินที่นางหาได้ไปเล่นจนหมด
ทั้งสองต่างเร่งมือนำปลาออกมาใส่ไว้ในถังน้ำ เพราะหลี่เฉียงยังต้องกินมื้อเช้าก่อนจะเข้าเมือง นางกลัวว่าจะไม่ทันเกวียนวัวที่นัดเวลาไว้
“ท่านรีบไปอาบน้ำเถิด ข้าจะจัดการที่เหลือต่อ ท่านยังต้องกินข้าวอีก”
“เจ้าทำไว้แน่รึ” เพราะยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย
“ไปเถิด ให้เกวียนมารอท่านคงไม่ดีนัก”
“ได้” หลี่เฉียงก็เหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน จึงไม่ได้โต้แย้งหว่านหนิงอีก เขาต้องเดินไปกลับลำธารเพื่อตักน้ำอยู่หลายรอบ คนไม่เคยทำงานเช่นเขา แทบจะต้องลากขากลับมาที่เรือนแล้ว
พอทั้งสองกินอาหารเช้าเสร็จ เกวียนวัวของลุงจางก็มาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนพอดี
“สวรรค์ ในถังคือปลาเช่นนั้นรึ พวกมันยังไม่ตาย” ลุงจางร้องออกมาเสียงดัง
“ขอรับ” หลี่เฉียงยิ้มอย่างภูมิใจ
“พวกเจ้าจับมันได้เช่นใด” เรื่องนี้ดูจะถามผิดไปเสียหน่อย เพราะคงไม่มีผู้ใดอยากจะบอกความสามารถที่ใช้หากินให้ผู้อื่นใดรู้มากนัก
“เป็นวิธีของต้นตระกูลข้าเจ้าค่ะ” หว่านหนิงยิ้มหวานเอ่ยตอบออกมา
“ใช่ ใช่ ความลับของตระกูลเจ้า” ลุงจางเกาหัวอย่างเก้อเขินเมื่อรู้ว่าตนถามคำถามผิดไปแล้ว
ทั้งสามช่วยกันยกถังปลาขึ้นไปวางเรียงไว้ด้านบนเกวียนวัว
“อย่าลืมของที่ต้องซื้อกลับมาเล่า” หว่านหนิงเอ่ยเตือนหลี่เฉียง เมื่อเขาขึ้นไปนั่งบนเกวียนแล้ว
“เข้าใจแล้ว” เขาเอ่ยตอบเสียงหยานคางออกมา นางเตือนเขาเป็นรอบที่สามแล้ว ตั้งแต่ตื่นนอนมาเช้านี้
ที่หว่านหนิงนางต้องเตือนเขาหลายรอบ เพราะมีของที่นางสั่งซื้อเพิ่มขึ้น นางจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่างในการปักผ้า จึงได้บอกกล่าวเขาอีกครั้ง และยังให้เขาถามเรื่องราคารับซื้อผ้าปักลายกับทางร้านขายผ้ามาบอกนางด้วย
ตอนที่หลี่เฉียงเดินทางเข้าเมืองไปขายปลา หว่านหนิงนางก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ นางเก็บกวาด ถางหญ้าที่ขึ้นรกเต็มลานเรือน นางยังชะเง้อคอมองว่าหลี่เฉียงจะกลับมาเมื่อใดทุกหนึ่งชั่วยามอีกด้วย
นางจำได้ที่เขาเคยพูด หากเดินเท้าเข้าเมืองใช้เวลาสองชั่วยาม หากนั่งเกวียนก็คงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเท่านั้น รวมซื้อของและเดินทางกลับคงใช้เวลาไม่เกินสามชั่วยาม
ทางด้านหลี่เฉียงเมื่อถึงตัวเมืองเขาก็ให้ลุงจางพาไปที่เหลาอาหารชื่อดังทันที
เสี่ยวเอ้อที่อยู่หน้าร้านเห็นเป็นลุงจางขับเกวียนมาจอด ก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทาย ด้วยรู้ว่าลุงจางมาทุกครั้งย่อมต้องมีของป่ามาขายให้กับเหลาอาหารไม่น้อย
“ลุงจาง วันนี้นำสิ่งใดมาขายหรือขอรับ” หากเป็นเนื้อกวางหรือหมู่ป่า เสี่ยวเอ้อก็จะได้รับรางวัลจากเถ้าแก่เล็กๆ น้อยๆ ด้วย
“ข้ามิได้มาขาย แต่พาอาเฉียงมาขาย เจ้าไปดูเสียก่อน ของดีเลย” ลุงจางรีบโอ้อวดทันที
หลี่เฉียงดันถังไม้ที่มีปลาเป็นๆ อยู่ด้านในให้เสี่ยวเอ้อได้ดูชัดๆ
“สวรรค์ ปลาสด ไม่ได้มีชาวบ้านมาขายให้นานแล้ว รอข้าประเดี๋ยวจะรีบไปตามหลงจู๊มาประเมินราคาให้” หากเป็นเพียงเนื้อสัตว์หรือผักป่าเขายังพอที่จะประเมินราคาได้ แต่ถ้าเป็นปลาสดที่น้อยครั้งจะได้พบเห็นย่อมต้องให้หลงจู๊เป็นผู้ตรวจดู