บทที่ 3 เล่าประวัติ

1594 Words
บทที่ 3 เล่าประวัติ “ขิมไม่ อื้อ..” ริมฝีปากหนาได้รูปฉกจูบเข้ามาปิดปาก สายขิมทำได้แค่เบิกตากว้าง รับรู้ถึงแรงบดขยี้ที่ไม่ปรานี สองมือกำเสื้อตรงหน้าอกของเขาไว้แน่น เมื่อลิ้นสากร้อนปนกลิ่นบุหรี่ทะลวงเข้ามาในโพรงปาก จุมพิตแรกในชีวิตห่างไกลจากความอ่อนโยน ส่งผลให้คนใต้ร่างหายใจติดขัด ความดุดันของปลายลิ้นที่แกว่งตวัดกับลิ้นเล็กเล่นเอาพะอืดพะอม ทาวน์บดเคล้าเข้าใส่อย่างยาวนาน จนในที่สุดก็ถอนจูบเมื่อลมหายใจของคนไม่ประสาขาดห้วง “เฮือก!” หญิงสาวโกยอากาศเข้าปอด ตื่นตระหนกเมื่อเห็นน้ำลายสีใสยืดเชื่อมริมฝีปาก ใบหน้าเล็กแดงก่ำ ดวงตาคลอน้ำตาดูน่าสงสาร แต่ทาวน์กลับหัวเราะในลำคอ นึกสนุกที่จะเล่นกับกวางน้อยแสนบอบบางตัวนี้เหลือเกิน “ฉันเคยอยากเป็นอาจารย์” “เอ๋?” “อยากมีลูกศิษย์ อยากสอนให้รู้งาน” “...............” “เธอจะเป็นลูกศิษย์ของฉัน” คนอยากเป็นอาจารย์ประกบริมฝีปากเข้าหา ครั้งนี้เขาจงใจสูบวิญญาณมากกว่าจูบ เสียงบดเคล้าน้ำลายดังต่อเนื่องเมื่อทาวน์จู่โจมอย่างเร่าร้อน ฝ่ามือหนาเริ่มลูบไล้มายังหน้าอก กางนิ้วมือบีบเคล้นก้อนกลมกลึงภายใต้บราเซียร์ ขนาดของมันกระตุ้นให้อยากเห็น ไม่รอช้าเขารีบยกตัวขึ้น ถอดชุดของเธอออกทางศีรษะ โดยที่สายขิมยังมึนงงและตั้งตัวไม่ทัน ร่างขาวอมชมพูเหลือเพียงชุดชั้นในลูกไม้สีขาว เนินอกที่ล้นออกมาทำให้ทาวน์ยกยิ้ม แต่ไม่นานเจ้าของก็ยกมือปิด เริ่มดิ้นหนีจากร่างกำยำที่นอนทาบทับอยู่ “ขิมกลัว อย่าเลยทำนะคะ..” วอนขอด้วยเสียงปนสะอื้น น้ำตาไหลออกหางตา ตัวสั่น ปากสั่น ดูน่าเวทนา แต่คนเหนือกว่าก็ไม่ใจอ่อน ยิ่งรู้ว่าเธอคือใคร เขาก็ยิ่งอยากขย้ำและกลืนกินแม่กวางน้อยตัวนี้ให้เร็วที่สุด “เลือกเอาว่าจะนอนกับฉันคนเดียว หรือจะนอนกับไอ้พวกที่ยืนเรียงรายอยู่ข้างนอกแทน” คำพูดราวกับสายฟ้าฟาดทำให้สายขิมตัวชาวาบ ใจเต้นกระหน่ำด้วยความกลัวสุดขีด เธอปล่อยให้น้ำตาไหลรินในยามที่ตะขอบราเซียร์ถูกปลด แพนตี้ตัวจิ๋วถูกถอด นอนนิ่งเปลือยเปล่าอล่างฉ่าง ให้คนที่เพิ่งเจอครั้งแรกมองอย่างเต็มตาโดยไม่กล้าขัดขืนอีก ทาวน์หยัดตัวขึ้นสูงให้เห็นได้ถนัดถนี่ คนที่หอบหายใจอยู่ใต้ร่างไม่ได้สวยจนต้องตะลึง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอซ่อนรูป ภายนอกเดรสตัวโคร่งดูร่างเล็กบอบบาง พอลอกคราบกลับมีทรวดทรงองเอว หน้าอกหน้าใจเกินตัว สะโพกผายมน กลางกายไร้ขนที่เธอใช้ท่อนขาหนีบบดบังไว้ก็น่าลิ้มลองไม่น้อย แต่อย่างที่บอกว่าผ่านผู้หญิงมาเยอะ สวยระดับนางงามก็ฟาดมานับไม่ถ้วน อย่าถามเรื่องความสวย เพราะมีมาให้เห็นจนดาษดื่นชินตา ฉะนั้น..สายขิมจึงเป็นเพียงคนหนึ่งที่เขาอยากเสพสม ไม่ได้ชื่นชอบเท่าใดนัก “อื้อ..” หญิงสาวร้องท้วงเมื่อถูกบดจูบหนักหน่วง อกอวบอิ่มถูกบีบขย้ำไม่ปรานีจนเจ็บ หวาดกลัวกับสัมผัสเร่าร้อนป่าเถื่อน ลิ้นที่สอดเสียบเข้ามาในโพรงปากช่างน่าขยะแขยง เธอร้องอู้อี้พยายามหลบ แต่ถูกมือหนาล็อกใบหน้าเอาไว้ มือข้างที่ว่างของเขาลูบไล้ต่ำลง ผ่านสีข้างมายังหน้าท้องแบนราบ หัวใจดวงน้อยกระตุก เมื่อกลีบกายสาวถูกฝ่ามือร้อนแตะต้อง น้ำตาไหลรินไม่ขาด หวาดผวาและตื่นตระหนกจนสติดับวูบ คนกำลังละเลงร่างกายหอมหวานหยุดชะงัก ค่อยๆ ถอนจูบ หยัดตัวลุกนั่งมองร่างที่นอนนิ่งด้วยสายตาว่างเปล่า แน่ใจว่าเธออ่อนหัดเรื่องเซ็กส์ แต่ไม่คิดว่าจะขวัญอ่อน ถึงขั้นสลบในตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม ไร้เดียงสาอย่างไรก็ต้องเคยโดนเอามาบ้าง ก็แม่เลี้ยงพาไปเร่ขายขนาดนั้น บอกยังบริสุทธิ์อยู่ก็ชักจะเกินไป “บ้าเอ๊ย!” สบถหงุดหงิดก่อนก้มลงคลุกเคล้ายอดถันสีชมพู ดูดดึงเนินอกอวบเป็นรอยสีกุหลาบ บีบเคล้นสองเต้าจนเกิดรอยมือ คนอารมณ์พลุ่งพล่านใช้เวลากับความนุ่มหยุ่นอยู่หลายนาทีจึงยอมถอย ลุกเดินออกจากห้องด้วยความงุ่นง่าน ปล่อยให้อีกคนนอนเปลือยเปล่าอยู่เพียงลำพังบนเตียง เวลาเช้าตรู่คนที่นอนขดตัวเริ่มขยับ ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้สายขิมรู้สึกตัวตื่น ค่อยๆ ลืมตามองไปรอบบริเวณ ดีดตัวลุกทำหน้าเหลอหลา ความทรงจำในค่ำคืนอันโหดร้ายกลับมา น้ำตารินไหล ก้มมองร่องรอยบนเนินอก สิ่งนี้ชี้ชัดว่าถูกพรากพรหมจรรย์ไปเสียแล้ว มือสั่นเทาดึงผ้าห่มมาคลุมร่าง สะอื้นไห้ตัวโยนปิ่มขาดใจ ฝ่ามือลูบไปตามลำตัว เช็ดถูริมฝีปากเมื่อนึกถึงสัมผัสจากคนใจทราม ที่กระทำกับเธอในยามไม่มีสติ “พ่อเขม..ฮึก ฮือ” บุพการีที่ชุบเลี้ยงมาแต่กำเนิดถูกพร่ำหา ความอาดูรและเจ็บปวดเพิ่มพูนอย่างแสนสาหัส เหตุใดพระเจ้าจึงประทานความทุกข์ทรมานให้แก่เธอ ทั้งที่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ใช้ชีวิตอย่างดีมาตลอด เชื่อฟังและทำตามคำสั่งสอนของคนที่เคารพไม่ขาดตกบกพร่อง เพียงชั่วข้ามคืนของการสูญเสียคนอันเป็นที่รัก ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป สายขิมใช้เวลาคร่ำครวญอยู่นานจนประตูห้องถูกเปิด เธอหันมองด้วยความหวาดผวา สองมือกำผ้าห่มไว้แน่น เมื่อชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำเดินเข้ามา น้ำตาไหลพรากสะอึกสะอื้น เมื่อคิดว่าจะถูกย่ำยีจากผู้ชายอีกคน แต่สิ่งที่ได้ยินก็ทำให้คลายความหวาดกลัวลง “รีบอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เสื้อผ้าและของใช้อยู่ตรงนี้นะครับ เสร็จแล้วไปหาคุณทาวน์ที่ห้องทำงานชั้นสอง” ชายหนุ่มวางทุกอย่างไว้บนโต๊ะกระจก จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่มองคนบนเตียงแม้แต่น้อย สายขิมกลั้นสะอื้นคิดทบทวนคำพูดเมื่อครู่ เขาชื่อทาวน์ คงเป็นเจ้านายของผู้ชายน่ากลัวหลายสิบคนที่เห็นเมื่อคืน ชายสูงวัยท่าทางใจดีคนนั้นคงเป็นญาติ หรือไม่ก็เป็นผู้ให้กำเนิดของชายหนุ่ม พยายามรวบรวมสติ ฝืนใจลุกจากเตียงไปหยิบเครื่องใช้ เดินตรงไปยังประตูด้านในที่คาดว่าเป็นห้องน้ำ ใช้เวลาขัดถูร่างกายที่คิดว่าแปดเปื้อนอยู่นานจนผิวกายแดงก่ำ รู้สึกเจ็บแต่ไม่มากเท่าหัวใจที่แหลกสลาย เสียงสะอื้นดังอีกครั้ง เพื่อระบายความอัดอั้นและอดสู ตายได้คงทำไปแล้ว หากไม่นึกถึงคำพูดสั่งเสียของพ่อ “พ่อขอโทษนะลูก หนูออกจากบ้านหลังนั้นไปนะขิม หนีไปให้ไกลอย่ากลับมาอีก หนูต้องมีชีวิตที่สดใสและสวยงาม พ่อจะคอยมองอยู่ไม่ไกล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหนูต้องสู้และอยู่ต่อให้ได้” คำพูดสุดท้ายที่สร้างความเคลือบแคลงใจ เธอจึงยอมทนอยู่กับรัชนีเพื่อพิสูจน์บางอย่าง เแต่เพราะด้อยประสบการณ์และหัวอ่อน จึงไม่อาจต้านทานคนมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างแม่เลี้ยงได้ ไม่มีอะไรจะสู้และคงสู้ไม่ได้ หากไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วย แล้วจะเป็นใคร? ทาวน์มองคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานอย่างหงุดหงิด ก้มหน้าอย่างนั้นจะคุยได้อย่างไร เสียอารมณ์แต่เช้า ดีที่เมื่อคืนได้ระบายความพลุ่งพล่านกับของขัดดอกคนโปรด ไม่งั้นคงฉุนเฉียวกว่านี้ “เงยหน้าถ้าไม่อยากถูกลากออกไปทิ้งข้างถนน” “อึก..” สายขิมกลืนน้ำลายเหนี่ยวลงคอก่อนทำตามคำสั่งทันที ใบหน้าเนียนใส แก้มอมชมพูโดยธรรมชาติทำให้ดูอ่อนเยาว์จนทาวน์ขมวดคิ้ว เธออายุยี่สิบสองอย่างที่พ่อบอกหรือเปล่า ผมยาวเลยบ่าดูเหมือนเด็กมัธยมปลาย มากกว่าคนที่เรียนจบระดับปริญญาตรี “อายุเท่าไหร่” “ยี่สิบสองค่ะ” “แน่ใจ?” “ขิมเรียนจบมหาลัยแล้ว ไม่เชื่อคุณดูบัตรประชาชนของขิมก็ได้” สายขิมหยิบบัตรประจำในกระเป๋าสะพายที่ติดตัวมาใบเดียวยื่นให้ทาวน์ดู เขาเหลือบมองเพียงนิดแล้วพยักหน้า เธอจึงดึงกลับมาเก็บไว้ที่เดิม พอเห็นสายตาเยียบเย็นของคนใจทรามน้ำตาก็รื้น นึกถึงสิ่งที่ถูกพรากไปตอนหมดสติ สองมือกำหมัดสะกดกลั้นความเจ็บปวดสุดกำลัง แตกต่างจากอีกคนที่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองเธอด้วยสายตาอ่านยาก “ฉันอยากรู้เรื่องส่วนของเธอ” “คะ?” “เล่ามาให้ละเอียด” เมื่อเห็นสายตาจริงจัง บวกกับน้ำเสียงดุดันของทาวน์ สายขิมก็หน้าซีดหวั่นเกรง ความกลัวเข้ามาแทนที่ความเสียใจเมื่อครู่หมดสิ้น “ขิมมีพ่อชื่อเขม แม่เสียชีวิตตั้งแต่เกิด เรียนจบบัญชีมหาลัยเอช เป็นคนกรุงเทพ ชอบกินเค้กส้มและก็น้ำแตงโมปั่น ชอบวาดภาพเป็นงานอดิเรก และก็..” “พอ!” เสียงตะคอกทำให้คนที่เจื้อยแจ้วสะดุ้งตกใจ หน้าซีดแล้วซีดอีกกับอาการหงุดหงิดของเขา ทาวน์ลูบต้นคออารมณ์ขุ่นมัวก่อตัว “ก็คุณให้ขิมเล่า..” “ไม่ต้องเถียง! เธอตอบคำถามอย่างเดียวก็พอ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD