บทที่ 4 ในครัว

1972 Words
บทที่ 4 ในครัว “บอกชื่อเต็มของเธอ ครอบครัวมีสมาชิกกี่คนก็บอกมาให้หมด” หญิงสาวไม่ตอบในทันที เพราะงุนงงกับคำพูดและท่าทีจริงจังของอีกฝ่าย เมื่อชักช้าจึงถูกกระตุ้นด้วยสายตาดุดัน “ชื่อ สุพิชฌา ไกรวัลย์ ส่วนครอบครัวก็มีพ่อเขม คุณแม่ แล้วก็พี่สาว” ทาวน์ยกยิ้มเมื่อข้อมูลของเธอตรงตามที่รู้มา ไม่ผิดตัวและก็ไม่ผิดเป้าแน่นอน “ไหนว่าแม่ตายตั้งแต่เกิด” “คุณแม่เป็นภรรยาใหม่ของพ่อเขมค่ะ” สายขิมตอบตามตรง “รู้ใช่มั้ยว่าการเป็นคนขัดดอกต้องทำอะไรบ้าง” คำถามจี้จุดส่งผลให้สายขิมหน้าเผือดสี ความหมองหม่นเข้าครอบคลุมจิตใจ ขอบตาร้อนผ่าวทันที แต่ก็พยักหน้ารับทราบอย่างว่าง่าย “ค่ะ..ขิมรู้” “ก็ดี..ฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยอธิบาย” ทาวน์จ้องใบหน้าจิ้มลิ้มที่เจื่อนจนซีด จุดแดงบนลำคอขาวทำให้สงสัย จำได้ว่าเขาไม่ได้ทิ้งรอยไว้บริเวณนี้ “รอยตรงนั้นคือ..?” ชี้นิ้วไปยังตำแหน่งและเลิกคิ้วถาม “ตอนอาบน้ำขิมเผลอถูกตัวแรงไปหน่อยค่ะ” คนตอบเบือนหน้าหนี เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เข้าใจว่าเขาคงถามเพื่อตอกย้ำให้เธอรู้สถานะตัวเอง “หึ..” รังเกียจสินะ! “เอาเป็นว่าเธออยู่ที่นี่ไปก่อน นอนกับฉันในเวลาที่ฉันต้องการ หรือถ้าอยากทำงานเพื่อหารายได้ก็บอก จะให้ลงไปช่วยงานที่คลับด้านล่าง” สายขิมหันกลับมาสบตากับเขาเมื่อได้ยินเรื่องงาน ความหวังเล็กๆ ก่อตัวขึ้น ไม่ต้องนั่งๆ นอนๆ เป็นนางบำเรอไร้ประโยชน์ มีงานก็จะทำให้มีเงิน เป็นทุนรำรองในวันข้างหน้า หากต้องไปจากที่นี้ “ขิมต้องอยู่กับคุณนานแค่ไหนคะ” “นานเท่าที่ฉันต้องการ” คำตอบแสนเย็นชาทำให้หญิงสาวกัดริมฝีปากจนเจ็บ อยากโวยวายกรีดร้องกับความอัดอั้นที่เผชิญ ไม่ใช่แค่ไร้อนาคตแต่เธอไม่มีแม้สิทธิ์กำหนดชีวิตของตัวเอง “หนี้สามล้านที่พ่อเขมกู้จากคุณลุงคนนั้น ขิมต้องอยู่กับคุณไปอีกนานเท่าไหร่ ช่วยบอกหน่อยได้มั้ยคะ” รู้ว่าไม่ควรถามซ้ำ แต่คนไม่มีทางเลือกก็ไม่อาจใช้ชีวิตโดยไม่รู้จุดหมาย ต่อให้เป็นร้อยปีก็ขอให้มีปลายทางที่สิ้นสุด “ห้าปี สิบปี หรือยี่สิบปีดีล่ะ ช่วยฉันคิดหน่อยสิ” ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มมุมปาก “ไม่มีกำหนดสินะ..” สายขิมห่อไหล่ กะพริบตาไล่น้ำตาที่เอ่อล้น คนอ่อนแออย่างเธอจะสู้ใครได้ ต้องตกเป็นเบี้ยล่างและเป็นฝ่ายจำยอมอยู่ร่ำไป “ผู้หญิงหลายคนอยากอยู่ในจุดที่เธออยู่ ฉันจะเลี้ยงเธอในฐานะคู่นอน ควรดีใจไม่ใช่ทำหน้าเหมือนอยากตายอย่างตอนนี้” ใช่..เธออยากตาย แต่ตายไม่ได้ เลยต้องกล้ำกลืนฝืนทนมีชีวิตต่อ เพื่อทำสิ่งที่ไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า หากยังติดอยู่ตรงนี้กับเขา “ออกไปได้แล้วฉันจะทำงาน อยู่เฉพาะชั้นสามห้ามเดินเพ่นพ่าน ถ้าหิวหรืออยากกินอะไร ห้องที่อยู่ติดกันเป็นครัว มีของสดและอุปกรณ์ครบ เธอใช้ได้ตามสบาย” ตามสบาย!! ถึงจะตกใจเมื่อรู้ว่าต้องทำอาหารเอง สายขิมก็ยังพยักหน้ารับคำไม่กล้าขัด “ค่ะ” ร่างบอบบางเดินพ้นประตูออกไป ทาวน์ก็พ่นหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ได้จะเลี้ยงดูปูเสื่อให้ยุ่งยากอย่างที่พูด เขาแค่อยากเล่นสนุก อยากแก้แค้นใครบางคนก็เท่านั้น หากทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็จะปล่อยกวางน้อยไปตามทาง ไม่เก็บไว้ใกล้ตัวอีก สายขิมนั่งหน้ามุ่ยลูบท้อง เสียงร้องประท้วงจากบริเวณนั้นบ่งบอกว่าเธออยู่ในอารมณ์ไหน คนไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เย็นเมื่อวานจนตอนนี้เวลาบ่ายสอง ได้แต่นั่งถอนหายใจคิดไม่ตก “เฮ้อ..” ความเศร้าหมองถูกแทนที่ด้วยความหิว ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินไปยังห้องที่เป็นโซนครัว เปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ที่มีของสดอัดแน่น แต่เลือกหยิบไข่ไก่มาสองฟองก่อนตอกใส่ภาชนะ เหยาะเครื่องปรุงรส ตีจนได้ที่ ตากลมโตมองเตาแม่เหล็กไฟฟ้าสุดทันสมัยอย่างชั่งใจ “เปิดยังไง” พึมพำพร้อมเอื้อมมือบิดปุ่ม ยิ้มดีใจเมื่อเตาเกิดวงสีแดง โดยไม่ทันมองระดับความร้อน สายขิมรีบหยิบกระทะมาวางใส่น้ำมัน รอสักพักก็เทไข่ลงไป หยิบตะหลิวมาถือ จ้องไข่ที่เริ่มเหลืองเขม็ง กลืนน้ำลายลงคออึกแล้วอึกเล่าเมื่ออาหารมื้อแรกส่งกลิ่นเชิญชวน “อื้ม..น่ากินที่สุด ไข่เจียวของสายขิม” ปากน้อยๆ ฉีกยิ้ม เพียงไม่นานก็หุบลง เมื่อกลิ่นหอมเปลี่ยนเป็นเหม็นไหม้ เริ่มมีควัน น้ำมันร้อนกระเด็น สาวน้อยขันรีหันขวางตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก มือถือตะหลิวสั่นเมื่อควันเริ่มหนาขึ้น ไข่เจียวสีเหลืองกลายเป็นสีเข้มกลิ่นคละคลุ้ง “ทำอะไร!!” ร่างสูงแทรกตัวเข้ามาปิดเตา ยกกระทะไปวางบนอ่างล้างจาน ก่อนกดเปิดเครื่องดูดอากาศ ใช้มือปัดไล่ควันโขมงที่พวยพุ่ง พร้อมมองคนที่ยืนถือตะหลิวก้มหน้าเหมือนเด็กทำความผิด เธอคงหิวและกำลังประกอบอาหาร แต่สิ่งที่อยู่ในกระทะห่างไกลคำว่ากินได้ไปมากโข “จะเผาคลับฉันหรือไง” “เปล่านะคะ ขิมแค่หิว แต่..” หญิงสาวเหลือบมองไข่เจียวตาละห้อย หมดกัน! อาหารมื้อแรกของสายขิม “แค่ไข่เจียวยังทำไหม้” “ขิมทำอาหารไม่เก่งนี่คะ” “ไม่ใช่ไม่เก่งแต่ไม่เป็นเลยต่างหาก” ห่า! พ่อเอาอะไรมาทิ้งไว้วะเนี่ย หากไม่ติดเรื่องนั้นเขาคงจับโยนไปให้พ้นหน้า ความวุ่นวายเริ่มส่อเค้า แต่เพียงนึกถึงผลลัพธ์จากการได้อยู่กับเธอ ทาวน์ก็ต้องฝืนให้ผ่านช่วงนี้ไป “ขิมทำอาหารไม่เก่งนี่คะ” “ไม่ใช่ไม่เก่งแต่ไม่เป็นเลยต่างหาก” ห่า! พ่อเอาอะไรมาทิ้งไว้วะเนี่ย หากไม่ติดเรื่องนั้นเขาคงจับโยนไปให้พ้นหน้า ความวุ่นวายเริ่มส่อเค้า แต่เพียงนึกถึงผลลัพธ์จากการได้อยู่กับเธอ ทาวน์ก็ต้องฝืนให้ผ่านช่วงนี้ไป “.............” สายขิมก้มหน้าไม่ตอบโต้ กำตะหลิวในมือแน่น กลัวจะถูกไล่ตะเพิด ความหิวก็เข้าโจมตีอย่างมหาศาล ในที่สุดเสียงโครกครากจากกระเพาะก็ทำให้เธอช้อนตามองเขาอย่างออดอ้อนโดยไม่รู้ตัว ทาวน์จึงถอนหายใจแล้วใช้มือนวดขมับ ยุ่งยากใจอย่างบอกไม่ถูก “ไปรอที่ห้อง จะให้ลูกน้องเอาข้าวไปให้” “คุณพูดจริงนะ” สาวน้อยยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอกัน กะพริบตาบ้องแบ๊วปริบๆ ความหิวทำให้ลืมความหมองหม่นไปชั่วขณะ ‘ขิมขี้อ้อนเหมือนเด็กน้อย’ ถ้อยคำในอดีตย้อนกลับมา และเขาก็ได้เห็นเต็มตาว่ามันจริง “อืม..” “ขอบคุณค่ะ” สายขิมยกมือไหว้ วิ่งดุกดิกไปวางตะหลิวไว้ที่เดิม หมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว กลัวคนใจดีจะเปลี่ยนใจให้อดอาหาร เฉกเช่นแม่เลี้ยงเคยทำมาก่อนหน้านี้ “ฟู่ว..” ทาวน์ยกมือลูบหน้า เพิ่งเคลียร์งานเสร็จไม่ทันไร ภาระที่พ่อทิ้งไว้ก็ก่อเรื่องให้ปวดกระบาลต่อ งานไม่หา หาแต่เรื่องไหมวะ! ช่วงหัวค่ำในวันเดียวกัน หลังจากจัดการอาหารมื้อเย็นจนเต็มอิ่ม สายขิมก็นำภาชนะไปล้างทำความสะอาดในครัว ถึงทำอาหารไม่เป็น แต่ก็เคยหยิบจับงานบ้านอยู่บ้าง งานล้างจานก็เป็นสิ่งที่รัชนีอนุญาตให้ทำได้ ความจริงอยากเรียนทำอาหาร แต่แม่เลี้ยงไม่เห็นด้วยจึงพับเก็บความตั้งใจเอาไว้ แอบ เสียดายที่ตอนนั้นเชื่อฟังโดยไม่นึกถึงอนาคต หากไม่มีคนทำให้ เธอจะใช้ชีวิตอย่างไร การซื้อกินอาจเป็นคำตอบ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายบอกได้ดี อย่างน้อยคนเราก็ต้องทำเป็นสักอย่างสองอย่างเผื่อยามฉุกเฉิน “ทำอะไรของเธออีก” “ว๊าย!!” เพล้ง! คนเหม่อยืนล้างจานเผลอปล่อยของในมือหล่นลงพื้น ยังไม่ทันตั้งตัวร่างเล็กก็ถูกยกให้นั่งบนเคาน์เตอร์แทนการยืน เศษจานกระจายไปทั่ว ดีที่ทาวน์ใส่รองเท้าจึงไม่กังวลเรื่องบาดเจ็บจากการเหยียบ “s**t!!” เสียงสบถดังขึ้น “ขอโทษค่ะ คุณเสียงดังขิมเลยตกใจ” สายขิมบอกเสียงสั่น เหลือบมองเท้าเปล่าเปลือยของตัวเองแล้วหน้าเบ้ เมื่อเห็นเลือดหนึ่งจุดเล็กๆ “ซุ่มซ่ามไม่เข้าเรื่อง คราวหน้าไม่ต้องทำ กินเสร็จก็ยกมาวางไว้ก็พอ ที่เหลือฉันจะให้แม่บ้านจัดการเอง” สั่งเสียงเข้ม หงุดหงิดจนอยากบีบคอให้ตาย มาเป็นของขัดดอกหรือลูกสาว เขาชักไม่แน่ใจ “ละ..เลือด” สายขิมหน้าซีดปากสั่น ชี้นิ้วไปยังหลังเท้า ทาวน์มองตามแล้วพ่นลมหายใจพรืดยาวคล้ายเบื่อหน่ายเต็มทน “แผลแค่ถากๆ ไม่ตายหรอกมั้งอย่าใจเสาะ” “ขิมไม่ชอบเลือด คะ..คุณช่วยเช็ดให้ได้มั้ยคะ” F*ck!! ทาวน์หน้าตึงมองสายขิมอย่างไม่สบอารมณ์ คนชอบทำหน้านิ่งแสดงอาการฉุนเฉียวหายใจฮึดฮัด แม่คุณเอ๊ย..คุณหนูมาก คุณหนูจัดๆ ยังมีอะไรอีกไหมที่เขาต้องรู้ “ฉันไม่ใช่คนรับใช้ของเธอ เผื่อลืม” เสียงลอดไรฟันของเขาทำให้สายขิมหน้าเจื่อน มองเลือดก็มือไม้สั่นพาลจะวูบ “เช็ดให้ขิมหน่อย ขิมกลัว คุณขา..นะคะ” บัดซบ!! บรรดาคำหยาบไหลพรั่งพรู เจอกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาต้องหัวเสียเป็นรอบที่เท่าไหร่นับไม่ทัน จากหน้านิ่งเคร่งขรึม กลายเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดเวลาอยู่กับเธอ “คุณขา..เช็ดให้ขิมหน่อยน๊า ขิมกลัวจริงๆ” ให้มันได้อย่างนี้สิวะ! นาทีต่อมาชายหนุ่มก็ตรงไปหยิบกล่องปฐมพยาบาล ล้างมือให้สะอาดก่อนจับข้อเท้าเล็กวางบนเคาน์เตอร์ นำสำลีสีขาวเช็ดเลือดที่มีน้อยนิดออก ใช้สำลีแผ่นใหม่ชุบแอลกอฮอล์เช็ดรอบรอยแผลขนาดเล็ก ตามด้วยแปะปลาสเตอร์อย่างเบามือ การกระทำที่ตรงข้ามกับอารมณ์ทำให้สายขิมมองอย่างเผลอไผล จากที่ได้ยินเรื่องฮอร์โมนออกซิโทซินมาบ้างก็เริ่มเข้าใจ ที่บอกว่าฝ่ายหญิงจะมีมากกว่าฝ่ายชายหลังมีเพศสัมพันธ์คงเป็นเรื่องจริง เพราะตอนนี้หัวใจของเธอกำลังเต้นแรง ไม่ใช่หวาดกลัว แต่เป็นความรู้สึกวูบวาบในช่องท้อง ไม่นะสายขิม..เขาน่ากลัวและใจทรามพรากความบริสุทธิ์ไป อย่าหวั่นไหวไม่เข้าเรื่อง คนอ่อนต่อโลกถกเถียงกับตัวเอง จนไม่รู้ว่าทาวน์ได้ล้างมือและเข้ามาประชิด แขนแกร่งเท้าบนเคาน์เตอร์กักขังร่างเล็กเอาไว้ ลมหายใจปนกลิ่นบุหรี่ดึงให้อีกคนรู้ตัว และก็ใจหล่นวูบ เมื่อริมฝีปากหนาประกบจูบเข้าหาอย่างรวดเร็ว “อื้อ..” สองมือทำท่าจะผลักไส ชายหนุ่มจึงใช้มือข้างเดียวรวบไขว่ไปด้านหลัง เสียงบดเคล้าดังเหนอะหนะ ในยามที่จูบทวีความดูดดื่ม ลิ้นสากตวัดเล่นกับลิ้นเล็กโชกโชนจนน้ำลายไหลย้อยอาบปลายคาง มือข้างที่ว่างลูบวนสะโพกผาย ต่ำลงมาที่โคนขาอ่อน ก่อนสอดเข้าไปในชุดเดรสกระโปรงสั้นเหนือเข่า นึกชมลูกน้องที่เอาชุดนี้ให้เธอใส่ เพราะมันสะดวก และง่ายต่อการถอด กับเธอครั้งแรกในครัวก็ไม่เลว!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD