งานเลี้ยงรุ่น

1134 Words
รถยนต์สีดำสนิทเคลื่อนตัวเข้ามาจอดภายใต้อาคารส่วนกลาง ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรวมรุ่นของกลุ่มศิษย์เก่าคณะศิลปกรรมในรอบสิบปี โดยมีชายหนุ่มวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตลำลองสีเดียวกับรถ ก้าวลงมายืนอยู่ข้างราวบันไดพร้อมรอยยิ้มจางๆ คล้ายจะซึมซับบรรยากาศรอบข้างเอาไว้ให้มากที่สุด ก่อนขึ้นไปเผชิญหน้ากับคำทักทายของเหล่าเพื่อนฝูง “มาแล้วๆ ในที่สุดไอ้เสี่ยขุนก็มาสักที กว่าจะเสด็จมาได้นะมึง มัวแต่เคลียร์คิวสาวๆ อยู่หรือไงวะ?” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขากล่าวทักทายทันทีที่ก้าวขาเข้าสู่ห้องจัดเลี้ยง บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะอาหารที่จัดแบบบุฟเฟ่ต์ และเวทีกิจกรรมที่ตกแต่งอย่างเก๋ไก๋ด้วยเอกลักษณ์ต่างๆ ของชาวคณะ เช่นเฟรมผ้าใบ หุ่นปูนปลาสเตอร์ พู่กันขนาดยักษ์ที่ประดิษฐ์มาจากโฟม รวมไปถึงหลอดสีน้ำมันจำลองที่สร้างขึ้นจากผ้าและกระดาษแข็ง ขุนเขา หรือเสี่ยขุนของเพื่อนๆ กล่าวทักทายทุกคนที่เดินผ่านตามมารยาท ก่อนจะกวาดสายตาเพื่อมองหาใครอีกคนตามที่คาดหวังเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความที่เคยเป็นคนกว้างขวางในหมู่เพื่อนๆ เขาจึงถูกดึงตัวไปทักทายอีกหลายกลุ่ม กว่าจะได้กลับมานั่งที่โต๊ะตัวเองก็กินเวลาไปโขอยู่ “ตอนนี้มึงทำอะไรอยู่วะไอ้ขุน ได้ข่าวจากไอ้ธมว่ามึงไปเรียนเพิ่ม แถมยังขยันจนได้เป็นอัยการ นึกยังไงถึงเบนเข็มจากงานออกแบบไปเป็นนักกฎหมายได้ กูละไม่เข้าใจมึงเลยจริงๆ” แดน หรือดนัย เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของเขาเริ่มต้นถามไถ่เรื่องทุกข์สุข ซึ่งขุนเขาเองยังไม่ทันได้ตอบ เพราะมีเพื่อนอีกคนก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน ราวกับจะแกล้งกันเสียอย่างนั้น “ถ้ามึงรู้ว่าอดีตหวานใจของไอ้ขุนไปสอบเป็นทนายความ ก่อนที่มันจะไปลงเรียนนิติตามเขาบ้าง พวกมึงก็คงสิ้นสงสัย” เขาพูดดักคอขึ้นมาตรงๆ เรียกเสียงเฮฮาจากกลุ่มเพื่อนๆ ที่นั่งสังสรรค์บนโต๊ะเดียวกันได้ไม่น้อยเลย จนคนที่ถูกกล่าวถึงอย่างขุนเขา อดไม่ได้ที่จะทำหน้ากระอักกระอ่วน “น้องคิ้มดาวมหาลัยน่ะเหรอวะ ไปสอบเป็นทนายความ ไหนว่านางตกอับไม่ได้เรียนต่อ จบแค่ ปวช.แล้วจะไปเป็นทนายความได้ยังไงวะ พวกมึงต้องอำกูแน่ๆ” ดนัยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะซึ่งผมเองฟังแล้วก็ใช่ว่าจะพอใจนัก เพราะคำว่าดาวมหาวิทยาลัยของดนัยนั้น มีความหมายค่อนไปในทางลบ ทั้งนี้เพราะบุคคลที่ถูกกล่าวถึงเป็นเด็กสาวรูปร่างสูงโปร่ง มีเรือนผมยาวสีดำสนิทค่อนไปทางหยักศกมากกว่าที่จะตรงสลวย เครื่องหน้าของคีรยานั้นสวยคม แต่กลับมีประพิมพ์ประพายคล้ายสาวเหนือ มีตาชั้นเดียวที่กลมโตและแทรกไปด้วยแพขนตางอนยาวจนแทบไม่ต้องดัด สีผิวของเธอเนียนละเอียดและเจือสีน้ำผึ้งจางๆ ไปทั้งตัว แม้ไม่ถึงกับคล้ำมาก แต่ก็ไม่ใช่ผิวขาวลออแบบพิมพ์นิยมตามที่ผู้ชายหลายๆ คนชื่นชอบกัน และด้วยรูปร่างหน้าตาเช่นที่กล่าวมาของเธอ ทำให้หญิงสาวดูแตกต่างและโดดเด่นกว่าเด็กสาวทั่วๆ ไปในวัยเดียวกัน จนในที่สุดก็กลายเป็นๆ จุดเด่นให้หลายคนรุมบูลลี่ และประกาศห้ามคบเธอไปทั่วทั้งวิทยาลัยโดยไม่มีสาเหตุ ซึ่งแน่นอนว่าคนๆ เดียวที่คบหาและเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในช่วงเวลานั้นของเธอก็คือตัวขุนเขาเอง ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดีหรอก หากแต่เป็นเพราะความอยากรู้และคึกคะนองต่างหาก ที่ผลักดันให้เขาพาตัวเองเข้าไปตีสนิท และเผลอคิดเกินเลยกับเธอในภายหลัง... ตอนนั้นขุนเขาแค่รับคำท้าจากกลุ่มเพื่อนๆ พร้อมกับเพื่อนผู้ชายต่างคณะอีกสองคน ให้เข้าไปชวนคุยและตีสนิทกับคีรยาเพียงเพราะเธอเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวแปลกๆ แถมยังตั้งรางวัลเอาไว้ด้วยว่าถ้าเขาจีบเธอได้เมื่อไหร่ เงินรางวัลที่เพื่อนๆ ร่วมลงขันกันทั้งหมดจะตกเป็นของชายผู้ชนะ ซึ่งเขาเองก็มีความสนใจในตัวเธออยู่แล้วจึงไม่ได้ปฏิเสธ ดังนั้น ภารกิจของเขาจึงเริ่มต้นขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ที่เห็นเธอนั่งอ่านหนังสืออยู่เพียงลำพังตรงม้านั่งยาวริมขอบสระ ใต้ต้นอินทนิลที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง คีรยาเป็นคนที่มาถึงวิทยาลัยก่อนคนอื่นๆ อยู่เสมอ บางคนบอกว่าเธอตั้งใจมาแต่เช้าเพื่อรอพบพี่กนก รุ่นพี่แผนกเดียวกันที่เขาเดาว่าคีรยากำลังแอบพึงพอใจ หญิงสาวดูตกใจเล็กน้อยเมื่อคนตัวสูงกว่าอย่างขุนเขามาหย่อนกายลงนั่งเคียงข้าง เธอค่อยๆ ขยับกายไปชิดอีกฝั่งอย่างแนบเนียนเพื่อไม่ให้เขารู้สึกแย่ คีรยามักเป็นแบบนี้เสมอ เธอมักใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้างและมีมารยาทที่ดี ทั้งๆ ที่อยู่ห่างจากการอบรมใดๆ และต้องใช้ชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เด็กๆ “ทำไมเธอมาเช้าจัง...” เขาเริ่มต้นการสนทนาด้วยประโยคที่พื้นฐานมากๆ จนเธอเผลอยิ้มออกมาจางๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ยอมสบตากัน ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเล่มที่ถืออยู่ในมือราวกับว่ามันคือตำราหายากระดับชาติ ขุนเขาเชื่อว่านั่นเป็นกิริยาที่เธอทำเพื่อบอกมากลายๆ ว่าไม่เคยไว้ใจและไม่มีความคิดในทางบวกใดๆ ที่จะร่วมสนทนากับเขาเลยในวันนั้น “เราชื่อขุนเขานะหรือเธอจะเรียกเราว่าขุนก็ได้” ในเมื่อเธอยังไม่ยอมตอบ เขาก็ต้องพยายามให้มากขึ้นเป็นสองเท่า แต่ยิ่งขุนเขาพยายามมากเท่าไหร่ คีรยาก็ยังคงนั่งนิ่งไม่โต้ตอบกลับมาแม้เพียงคำเดียว ไม่ต่างอะไรกับการนั่งพูดคุยกับรูปปั้นสลักหิน... “เธอชื่อคีรยาใช่ไหม? แปลกดีนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราสองคนชื่อเหมือนกัน...” คราวนี้เขายิ่งเก้อ เพราะอีกฝ่ายเริ่มจับได้แล้วว่าคนที่มาตีสนิทด้วย น่าจะมีเจตนาที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่... “แล้วยังไง?” เสียงของเธอกังวานใส แต่ก็เบาแผ่วจนห่างไกล ทั้งที่คนทั้งสองนั่งใกล้กันแค่เพียงคืบ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD