ภาคิณพาพริบพราวมาทานบุฟเฟ่ต์ชาบูสัญชาติญี่ปุ่นชื่อดังบนห้างสรรพสินค้าดิไอคอน ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางเมืองหนึ่งในธุรกิจของครอบครัวเคเซียเพื่อนสนิทของเธอเอง อาจจะเป็นช่วงเวลาเที่ยงทำให้คิวสำหรับรับประทานอาหารยาวหลายสิบคิวจนต้องยืนรออยู่กันเต็มหน้าร้าน พริบพราวจึงใช้ช่วงเวลานี้ในการถ่ายรูปเซลฟี่ตัวเองไปเพลินๆระหว่างฆ่าเวลารอ ในขณะที่รุ่นพี่ของเธอก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นมือถือไม่ได้สนใจมองอะไรเป็นพิเศษ
“คิณณ์คะ มาทานชาบูที่นี่เหรอ” เสียงหวานเอ่ยทักชายหนุ่มด้วยความดีใจ ขณะก้าวเดินมาหาเพื่อทักทาย สร้างความตกใจระคนสงสัยให้กับเธอไม่น้อย
“อืม แล้วมิ้นท์ล่ะมาทานชาบูเหรอ”
“ใช่ เรามาทานกับเพื่อนน่ะ แล้วคิณณ์ล่ะมาทานกับใคร” คนถามปรายตามองมาที่พริบพราวที่ยืนอยู่ข้างๆเขาด้วยความสนใจ ระคนไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
“อ่อคิณณ์มากับรุ่นน้องที่มหาลัยน่ะ”
“งั้นเหรอ แล้วไป มิ้นท์นึกว่าคิณณ์มากับแฟน งั้นมิ้นท์ก็นั่งโต๊ะเดียวกับคิณณ์ได้สิ เดี๋ยวมิ้นท์จะได้ไปบอกเพื่อนว่าเราจะมารวมโต๊ะกันนะ”
“อย่าเลยมิ้นท์ มิ้นท์ไปนั่งกับเพื่อนเถอะ เราเกรงใจเพื่อนมิ้นท์กับน้องเขาด้วย มันน่าเกลียด” ภาคิณบอกเสียงเรียบใบหน้านิ่งขรึมขึ้น ออกไปทางหงุดหงิดด้วยซ้ำ
“เอางั้นก็ได้ แต่คราวหน้าคิณณ์ต้องพามิ้นท์มาทานชาบูร้านนี้ด้วยนะ” มินตรามีท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินกลับไปหาเพื่อนที่ยืนรอคิดห่างออกไปเล็กน้อย
ในขณะที่พริบพราวยืนนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรนอกจากทำเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้สนใจฟัง ทั้งๆที่เงี่ยหูจนได้ยินทุกคำพูด
หลังจากทานชาบูจนอิ่ม ภาคิณจึงพาหญิงสาวมาดูรอบหนัง โดยเลือกที่นั่งเป็นแบบโซฟาเบดจะได้นอนเหยียดขาดูหนังได้สบายหน่อย พอได้ตั๋วหนังเรียบร้อยเขาจึงชวนเธอเข้าไปนั่งเล่นทานอาหารว่างระหว่างรอเวลาหนังฉาย
ท่าทางประหม่าเขินอายของหญิงสาวที่บางครั้งแสดงออกมาให้เขาเห็น มันทำให้รู้สึกอดเอ็นดูไม่ได้ ยามที่ได้สบตาก็หน้าแดง แกล้งเฉไฉหยิบป็อปคอร์นใส่ปากเคี้ยวทาน ผู้หญิงชอบโต้เถียงช่างพูด ก็ทำเป็นนิ่งเงียบไม่กล้าสบตาเสียอย่างนั้น มองจากดาวอังคารยังดูรู้เลยว่าเธอชอบเขาร้อยล้านเปอร์เซ็นต์
“หนาวไหม”
“ม่ะ...ม...ไม่หนาวค่ะ”
“อือ...แต่พี่หนาว ขอห่มผ้าด้วยคนสิ” ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะแกล้งดึงผ้าห่มจากตัวเธอมาห่มตัวเขาด้วย พลางขยับตัวไปจนใกล้จนรับรู้ถึงอุณหภูมิในร่างกายของอีกคน ระยะที่ห่างกันไม่ถึงคืบ เสียงหัวใจที่เต้นแรง
พริบพราวนั่งตัวตรงแข็งทื่อ สมองตันทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ แรงจะขบเคี้ยวขนมยังไม่มี ตากลมโตภายใต้ขนตางอนยาวที่ดัดโค้งเรียงเป็นเส้นสวยกะพริบตาปริบๆ
“หึหึ เป็นอะไรไหนว่าไม่หนาวไง ทำไมตัวสั่น”
“ก็พี่คิณณ์มาแย่งผ้าห่มพราว” ได้ยินดังนั้น ริมฝีปากหยักหน้ายกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด
“เดี๋ยวๆ พี่จะเบียดพราวทำไม ที่ตั้งเยอะ”
“เห็นหนาวก็จะกอดนี่ไง” เขาไม่เพียงแค่พูด แต่กับรวบตัวร่างเล็กดึงเข้ากอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“เห้ย! พี่คิณณ์ปล่อยพราวก่อน พราวไม่หนาวสักหน่อย” เสียงเล็กกระซิบ โวยวาย จะผลักตัวออกแต่เขากลับกอดแน่นขึ้น
“ดูหนังๆ พี่ดูไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย มัวแต่คุย” ภาคิณแสร้งทำเป็นดุ ตีหน้าซื่อไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจคนที่พยายามดิ้นไปดิ้นมาในอ้อมกอดของเขา แกล้งเมินมองไปที่จอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ เวลาผ่านไปสักพักคนตัวเล็กถึงได้สงบหยุดดิ้นนอนให้เขากอดดูหนังไปจนจบเรื่อง โดยที่เนื้อหาไม่ได้เข้าไปในสมองเลยสักนิด ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร ไม่มีสมาธิในการรับรู้ นอกจากลมหายใจตัวเองเข้าออกของตัวเองเท่านั้น
“ทำไมตัวเกร็งจัง ตื่นเต้นที่พี่กอดเหรอ”
“แล้วทำไมพี่คิณณ์ต้องมากอดด้วยคะ ดูหนังดีๆไม่ได้เหรอไง”
“ดูได้ แต่แค่อยากกอด ได้ไหม”
“หึ้ยย บอกไม่ได้พี่ก็กอดไปแล้วนี่ไง ลุกเถอะค่ะ คนเดินออกกันหมดล่ะ” ว่าพลางสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดเขาได้โดยง่าย ลงจากโซฟาเบดลุกเดินออกไปรอด้านนอกอย่างไว
“เป็นอะไรเงียบเลย โกรธเหรอ” ชายหนุ่มละสายตาจากถนนเบื้องหน้า ขณะขับรถไปส่งเธอกลับบ้าน หันมามองเสี้ยวหน้าของหญิงสาว แลดูขยุกขยิก สายตามองสบตาเขาคล้ายกับมีอะไรในใจอยากจะพูดอยากจะถามแต่ก็ไม่พูดออกมาสักที
“มีอะไรหื้อ ทำหน้าเหมือนอยากพูดอะไร”
“เอ่อ...พราวถามอะไรพี่คิณณ์ได้ไหมคะ” ท่าทีคล้ายไม่มั่นใจ ทำเขานึกขัน กอปรอยากรู้ว่าเธอจะถามอะไรเขา จึงพยักหน้าตอบรับให้เธอถาม
“ผู้หญิงที่มาทักพี่คิณณ์เป็นแฟนพี่คิณณ์เหรอคะ” เสียงเบาราวกับกระซิบ คล้ายไม่มั่นใจถามขึ้น ทำคนถูกถามนิ่งไปหลายชั่วอึดใจ พยายามคิดเรียบเรียงคำพูดก่อนตอบว่า
“เคยคุยกันแป๊บหนึ่งน่ะ แต่ช่วงนี้ห่างๆกันแล้ว”
“อ๋ออออออออ”
“หึหึ ทำไมต้องลากเสียงยาวขนาดนั้น”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” เธอหันมายิ้มแห้งให้เขา ก่อนจะเสสายตาแสร้งมองไปทางอื่น ใบหน้าพยายามซ่อนรอยยิ้มดีใจเอาไว้
หลังจากวันนั้นที่ดูหนังด้วยกันวันนั้น หญิงสาวก็รับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากรุ่นพี่หนุ่มของเธอ ที่ขยันโทรมา หาเรื่องชวนคุยเล่นจิปาถะ แถมท้ายด้วยคำว่า “ฝันดีนะคะ” ตลอดสองคืนที่ผ่านมา ระหว่างคืนวันศุกร์จนถึงคืนวันอาทิตย์
เช้านี้ยังเจอถุงน้ำเต้าหู้พร้อมกับไรเดอร์หน้าคุ้นยืนพิงรถญี่ปุ่นคันหรูสีดำมันเงา ส่งรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจคนมองพองโตคับแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
“พี่คิณณ์มาทำไรที่บ้านพราวแต่เช้าคะ” ถามทั้งที่ใจก็พอรู้ เพียงแต่อยากได้ยินคำตอบเท่านั้น
“ทางผ่านเลยว่าจะแวะรับไปทำงานด้วยกัน สนใจไหม ประหยัดค่ารถด้วยนะ”
“บ้านพราวเนี่ยนะทางผ่าน” เกษตรกับเลียบด่วนรามอินทราใกล้กันก็จริง แต่ก็คือคนละทางหากจะต้องไปทำงานซึ่งอยู่บริเวณย่านลาดพร้าว
“ใช่ เมื่อคืนพี่นอนบ้านเพื่อนน่ะ ว่าไง จะติดรถไปกับพี่ไหม”
“ไปค่ะๆ ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์”
“จ่ายค่ารถกับค่าน้ำเต้าหู้ เป็นเลี้ยงกาแฟพี่แล้วกันนะ ตกลงไหม”
“ตกลงค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มกว้างน่ารัก สดใส ให้กับหนุ่มรุ่นพี่ ก่อนจะรีบขึ้นรถนั่งทำงานไปด้วยกัน ภาคิณขับรถมาจอดถึงหน้าบริษัท โดยจอดห่างจากประตูรั้วเล็กน้อย หันมาหาหญิงสาวที่นั่งคุยกับเขามาตลอดทาง
“เอ่อ...พราวพี่ส่งเราลงหน้าตึกก่อนนะ พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ” คนพูดบอกโดยไม่สบตาเธอ
“อ่อได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวพราวเข้าไปด้านในออฟฟิตก่อนนะคะ”
“อืม เดี๋ยวเจอกัน” เขาตอบรับก่อนที่เธอจะก้าวลงจากรถ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยืนมองรอจนรถคันดังกล่าวกลับหายไปจากซอยถึงได้เดินเข้าไปในบริษัท ที่เริ่มมีพี่ๆเพื่อนๆเข้ามานั่งทำงานกันบ้างแล้ว
“อ้าวพราว วันนี้มาถึงเร็วจัง” พี่อ้อมที่กำลังเดินคนถ้วยกาแฟที่ยังร้อนๆ เดินผ่านมาเห็นเธอเดินเข้าออฟฟิศมาพอดี
“อ่อพะ...พอดี...” หญิงสาวนิ่งไปเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ว่ารุ่นพี่สั่งไม่ให้เธอบอกใครเรื่องเขามารับเธอที่บ้าน เปลี่ยนจากคำพูดเป็นเม้มปากตัวเอง ก่อนที่ความสนใจของพี่อ้อมจะหันไปหาบุคคลที่ได้รับฉายาว่า ผีประจำออฟฟิศ เดินยิ้มเข้ามาพอดี
“อ้าวไอ้คิณณ์ วันนี้พายุลูกเห็บเข้าเหรอ ถึงได้เข้าออฟฟิศแต่เช้า”
“มาเคลียร์เอกสารน่ะ เดี๋ยวบ่ายๆมีงานออกไปข้างนอก” พูดพลางหันมาขยิบตาใส่หญิงสาวในชุดนักศึกษาที่ยืนยิ้มให้เขาอยู่ ก่อนจะเอ่ยเย้าขอน้ำนมสีขาวขุ่นในถุงที่เธอถืออยู่
“น้ำเต้าหู้มีสองถุง กินด้วยดิ”
“อ้าวไอ้นี่ มาถึงก็ปล้นของกินน้อง เจริญล่ะมึง” เอิร์ธที่เดินตามเข้าออฟฟิศมาทีหลังเอ่ยแซว ก่อนจะเดินผ่านไปแบบไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
“นี่ค่ะน้ำเต้าหู้ ให้พราวไปแกะใส่แก้วให้ไหมคะ” ชูถุงที่อยู่ในมือขึ้นถาม ในขณะที่เขาเอ่ยกระซิบบอกเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่ทำเอง ขอบใจนะ”
“ขอบใจทำไมคะ ก็นี่มันของพี่” พริบพราวตอบเสียงเบาโทนเดียวกันกับเขาที่เพียงยิ้มแล้วหยิบน้ำเต้าหู้อีกถุงเดินหายไปอีกด้านของตึก ซึ่งเป็นโซนที่เธอไม่เคยได้เดินไปเพราะเป็นตึกสำหรับผู้บริหารเท่านั้น ใครไม่มีธุระก็จะไม่ไปเหยียบตรงนั้นเด็ดขาด เพราะต่างถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรไปยุ่ง ไม่งั้นงานจะเข้า