ตอนที่ 4 ท่านประธาน

2105 Words
ตอนที่ 4 ท่านประธาน ผมเดินเข้ามาภายในห้องชุดสุดหรูของคอนโดมิเนียมใหญ่ใจกลางเมือง ตาเหลือกหันมองหันมองสำรวจห้องพักไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ดีใจ ผสมกังวล “ทำไม ไม่ชอบอย่างนั้นเหรอ” แฟนคนแรกของผมเดินเข้ามาสวมกอด “ผมไม่ได้ฝันไปจริงๆ ใช่เปล่า คุณกับผม เราเป็นแฟนกันจริงๆ เหรอ” เด็กขายนมเปรี้ยวตรงสี่แยกไฟแดง กับ พ่อเทพบุตรสุดหล่อ เจ้าของรถหรูกับห้องพักใหญ่โตคนนี้นะเหรอจะมาชอบคนอย่างผม นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่ละครน้ำเน่าหลังข่าว คนหล่อๆ รวยๆ ที่ไหนจะมาตาต่ำคว้าเด็กข้างถนนอย่างผมไปทำแฟน? “ทำไม...ทำไมเธอถึงคิดว่าเราจะเป็นแฟนกันไมได้” “ทุกอย่างมันดีเกินไป จนเหมือนความฝัน ถ้าหากว่ามันเป็นความฝัน ผมกลัวว่าผมจะติดใจความหรูหรา สุขสบาย แล้วหลงระเริงอยู่ในนั้นมากจนเกินไป ผมเลยอยากจะตื่นขึ้นมาเร็วๆ” “ถ้าเรื่องของเราเป็นความฝัน เวลาที่เธอตื่นขึ้นมา มันจะกลายเป็นฝันเปียกนะรู้มั้ย” “หื้อ...คุณนี่มันทะลึ่งจริงๆ เลย” “กวี...” ก้นระบมของผมรองรับแรงบีบจากฝ่ามือใหญ่ สายตาเป็นประกายวับวามแวววาวทำให้ผมเดาทางแฟนหื่นออกทันที “นี่...อีกแล้วเหรอ” “ฉลองห้องใหม่ของเธอไง” จะบอกว่าฉลองห้องใหม่แบบภาพรวมก็คงทำนองนั้น เพราะวันหยุดที่เหลือผมกับคุณปานัทชวนกันทดสอบความแข็งแรงของเฟอร์นิเจอร์เกือบทุกชิ้นในห้อง ตั้งแต่ โต๊ะ เตียง ตู้ ชั้นวางของ ลามออกไปจนถึงระเบียง เตียงสนาม อ่างล้างจาน โต๊ะกินข้าว จนเราสองคนสรุปได้ว่าเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น แข็งแรงได้มาตรฐานดีเพราะมันสามารถรองรับน้ำหนักหกสิบกิโลกรัมของผมได้ และที่สำคัญทนทานต่อแรงกระแทก! “ผมไปทำงานก่อนนะ” ปลายเท้าเขย่งขึ้นไปหอมแก้มสาก “ตั้งใจทำงานล่ะ...จุ๊บ” แฟนหนุ่มเดินออกมาส่งพร้อมจูบหวานตรงหน้าประตู ก่อนจะจูบลากัน ในเช้าวันจันทร์อันสดใส เพราะผมไม่จำเป็นต้องรีบแหกขี้ตาตื่นตี 5 เพื่อนั่งรถมาทำงาน เพียงแค่ลงลิฟต์แล้วเดินเท้าออกมาพ้นรั้วคอนโดเดินเตร่ไปอีกไม่กี่สิบเมตรก็ถึงอาคารสำนักงานใหญ่ที่ผมแค่แตะนิ้วกดลิฟต์ขึ้นไปอีก 40 ชั้นก็ถึงแผนกผมแล้ว “พี่...ทำไมวันนี้ดูวุ่นวายกันจัง” ผมหมุนเก้าอี้หันกลับไปถามรุ่นพี่ที่ทำงาน เมื่อสังเกตเห็นว่าวันนี้ดูทุกคนในออฟฟิศลุกลี้ลุกลนมากกว่าทุกวัน “ต้องวุ่นวายสิ เลขาของคุณเฮนรี่แจ้งเข้ามาในไลน์กลุ่มว่าวันนี้พ่อจะมา” “พ่อจะมา..พ่อใครครับ หมายถึงคุณเฮนรี่เหรอ” “ไม่ใช่คุณเฮนรี่แต่เป็น คุณนัท รักษาการตำแหน่งท่านประธาน แทนคุณเฮนรี่” “อ่อ...” ผมพยักหน้าร้องอ๋อไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ “เออ แล้ววันนี้ถ้าไม่มีใครแจ้งซ่อมหรือว่าเรียกให้ไปไหน ก็นั่งอยู่แต่ในนี้นะ อย่าเที่ยวออกไปเดินเพ่นพ่านล่ะ” “นี่...เขาดุขนาดนั้นเลยเหรอครับ” “เกินกว่าคำว่าดุ แค่เดินผ่านนี่เหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน เข้าประชุมด้วยทีไรเหมือนถูกจับขึ้นแท่นประหาร ขนาดหัวหน้าว่าเจ๋งๆ เจอคุณนัทเข้าไปนี่ยังนั่งหงอเป็นหมาหงอยเลยนะ” “ขนาดนั้นเชียว” “เออน่ะสิ วีโชคดีแล้วที่เป็นแค่เด็กใหม่ ยังไม่ผ่านทดลองงาน เอาไว้รอผ่านโปรพ้นช่วงทดลองงาน 3 เดือนเมื่อไหร่ หัวหน้าเขาก็พาไปแนะนำตัวเองนั่นแหละ” “ทำไมต้องรอผ่านทดลองงานละครับ” “ก็ถ้ายังไม่ผ่านทดลอง จะพาไปแนะนำตัวทำไมเล่า ที่นี่มีพนักงานเข้าๆ ออกๆ เยอะแยะ ทางผู้จัดการฝ่ายบุคคลเลยตั้งกฏมาว่าเอาไว้รอให้ผ่านทดลองงาน แล้วค่อยพาเข้าไป มันจะได้ไม่เสียเวลาคุณนัทด้วย” “อ๋อ..อย่างนี้เอง” ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วหมุนเก้าอี้กลับไปนั่ง ในฐานะเด็กใหม่ ที่ยังไม่ได้รับมอบหมายงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังถูกกำชับนักหนาว่าให้นั่งอยู่แค่ภายในแผนก ตลอดช่วงเช้าผมจึงได้แต่นั่งหายใจทิ้งไปเปล่าๆ เพราะเท่าที่รู้คือเหล่าบรรดาหัวหน้า รองผู้จัดการและผู้จัดการทุกแผนก ถูกเรียกให้เข้าประชุมกับ “ท่านประธาน” กันหมด กระทั่งอีกห้านาทีจะถึงเวลาเที่ยงตรง ทุกคนจึงค่อยๆ ทยอยเดินกลับเข้า “เป็นไงพี่...รอดมั้ย” เสียงตะโกนทักทายหัวหน้าและรองหัวหน้าจากพนักงานที่นั่งยืดคอมองแถวตอนเรียง 3 ของตัวแทนแผนกไอทีที่เข้าร่วมประชุมในช่วงเช้าที่ผ่านมา “เช้านี้รอด รอบ่ายอีกที” หัวหน้าแผนกหนวดเฟิ้มทิ้งตัวลงไปนั่งแผ่สภาพเหมือนคนหมดเรี่ยวหมดแรงบนเก้าอี้ทำงาน “ผมลาป่วยได้มั้ยพี่ นั่งตัวเกร็งไปหมดแล้ว คนอะไรนั่งเฉยๆ ยังน่ากลัว” “ไม่ได้! เข้าไปด้วยกัน เผื่อมีอะไรมึงจะได้ช่วยเก็บศพกู ลากออกมาส่งให้ลูกเมีย” ติ๊ง เสียงข้อความแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดึงผมให้กลับออกมาจากวงสนทนาของบรรดาพี่ๆ ข้อความบอกกล่าวจากแฟนหนุ่มให้ขึ้นไปกินข้าวบนร้านอาหารชั้นห้าสิบ นับเป็นข่าวดีสำหรับเที่ยงนี้ “วี ไปกินข้าวกัน เห็นพวกสาวๆ ฝ่ายการเงินบอกว่ามีร้านขนมจีนบุฟเฟต์มาเปิดใหม่ที่ชั้น 20 ไปลองกันมั้ย” “วันนี้ผมมีนัดแล้วครับ พวกพี่ไปกินกันก่อนเลย” “อ้าวเหรอ ได้ๆ แล้วไม่ไปเหรอ” พี่คนเดิมกวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปในลิฟต์โดยสารขาลง แต่จุดประสงค์ของผมคือต้องการจะขึ้น “พี่...ไปก่อนเลยครับ พอดีผมจะขึ้นไปชั้นบน” ผมชี้นิ้วขึ้นไปบนเพดานพอดีกับลิฟต์โดยสารอีกตัวเลื่อนขึ้นมาเปิดอ้าออก ผมจึงรีบก้าวขาเข้าไปด้านในแล้วกดหมายเลขชั้นที่ต้องการ ทันทีเมื่อประตูลิฟต์เปิดคนที่ชวนผมมากินข้าวก็ยืนรออยู่ตรงทางเข้าร้านอาหารที่ผมพยายามยืนเอียงคอตะแคงซ้าย ตะแคงขวาก็อ่านไม่ออกสักที บรรยากาศภายในร้านจัดตกแต่งเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ตั้งแต่มีซุ้มต้นซากุระปลอมออกดอกสีชมพูพลาสติกตรงทางเข้า 3-4 ต้น พนักงานต้อนรับยืนโค้งคำนับ ร้อง คอนนิจิวะ ตั้งแต่พื้นรองเท้าผมแตะเข้าไป หากแต่ด้านในเงียบสงบจนเหมือนร้านใกล้เจ๊ง เพราะผมไม่เห็นลูกค้าสักคน จนมาร้องอ๋อเมื่อเห็นว่าด้านในมันถูกแบ่งแยกออกเป็นห้องส่วนตัวเล็กๆ “อาหารญี่ปุ่นเหรอ” ผมนั่งยิ้มให้เมนูอาหารในสมุดเล่มใหญ่ ปลาดิบ ปลาสุกมีให้เลือกละลานตาดูน่ากิน “ชอบมั้ย” “ชอบมากเลย...ขอบคุณครับ” “รางวัล” แก้มขาวเอียงข้างยื่นข้ามโต๊ะ ผมหันไปมองประตูไม้บานเลื่อนที่พนักงานสาวหน้าหมวยสวมชุดกิโมโนเพิ่งเดินออกไปจากนั้นกระโดดข้ามโต๊ะใหญ่ไปปล้ำจูบดูดปากกับคนใจดีที่อุตส่าห์มาเลี้ยงมื้อเที่ยง “กลับห้องกันมั้ย...สัก...ชั่วโมง” ฝ่ามือเลี้ยวโค้งสอดผ่านช่องว่างระหว่างกระดุมเสื้อเชิ้ตของผมเข้าไปบดปุ่ม ขยี้ตุ่มเสียวตรงส่วนปลายยอดอก “นี่คุณทำอะไร นี่มันในร้านอาหารนะ” “ใช่...แต่ฉันเลือกห้องพิเศษไพรเวท” หน้านิ่งก้มลงมาตอบเสียงเรียบ “เดี๋ยวพนักงานเสิร์ฟก็เข้ามาเห็นหรอก...” “เขาต้องเคาะประตู” “จะเอาให้ได้ใช่มั้ยเนี่ย” “เอาได้มั้ยล่ะ...ฉันทำได้นะ” “ไม่เอา...ผมหิวข้าว” “แต่ฉันหิวเธอ” ปากหยักขยับลงมาเม้มดูดซอกคอเสียงดังจ๊วบ จากนั้นจับผมเอนหมุนลงมานั่งบนตัก มือไวแอบปลดกระดุมเสื้อหลุดไปหลายเม็ด “คุณปานัท เดี๋ยวคนเข้ามาเห็น” “ไม่มีใครเห็นหรอก ที่นี่พนักงานทุกคนหูหนวกตาบอดทั้งนั้น” “หา” ผมเอียงคอลงไปมองหน้าคุณปานัทท่าทางจริงจัง “ฉันหมายถึง ต่อให้เราสองคนนอนเอากันตรงนี้ พนักงานที่นี่เขาก็จะทำเหมือนไม่เห็นอะไร...” เสื้อเชิ้ตทำงานถูกถลกร่นลงมา แทนที่ด้วยกลีบปากขบเม้มยอดอกจนผมสะดุ้ง เสียงดูดปากลากลิ้นของเราสองคนกลบเสียงพนักงานที่เข้ามาเพื่อเสิร์ฟอาหาร 2-3 รอบ จนครบตามเมนูที่สั่งไป แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คุณปานัทบอกคือเขาทำราวกับเรา 2 คนเป็นอากาศ “คุณ...พอก่อน” ผมยกมือขึ้นไปยันปลายคางแหลมเอาไว้ไม่ให้ก้มลงมาจูบซ้ำ “แต่ฉันอยาก” “เก็บไปทำที่บ้านนี่มันร้านอาหาร แถมผมหิวจนไส้จะขาดแล้วขอกินก่อนนะ เดี๋ยวผมต้องรีบกลับไปทำงานอีก” ผมรีบขยับเสื้อให้มันเข้าที่เข้าทาง แล้วติดกระดุมกลับที่เดิมจนครบ “............” เจ้าของดวงตาขวางขุ่น จ้องผมเหมือนไม่ค่อยพอใจนัก “ที่รักกกกกก ไว้คืนนี้กลับไป ผมจะจัดให้เต็มที่เลยนะ ตอนนี้ผมหิวจริงๆ ผมเป็นโรคกระเพาะด้วยนะ คุณไม่รัก ไม่สงสารผมเหรอ...” ตัวเอียงโน้มลงไปโอบเอวหอมแก้มคนหน้าบึ้งประจบเอาใจ “ถ้าอย่างนั้น...กินข้าวก็ได้” เสียงสะบัดจนหลับตาฟังก็รู้ว่าเจ้าของหน้าบู้บี้นี่กำลังงอน “อืมมมม อย่างนั้นผมป้อนคุณดีมั้ย” ผมใช้ตะเกียบคีบปลาอะไรไม่รู้ที่มันชิ้นใหญ่ๆ ใส่ปาก จากนั้นยืดตัวขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า ใช้ลิ้นประคองป้อนปลาครึ่งหนึ่งผ่านลงไปยังกลีบปากหนา ที่ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาได้ในที่สุด “เที่ยงนี้กินปลาดิบไปก่อนนะครับ เอาไว้คืนนี้ผมจะให้กินเนื้อสด กับต้มแซ่บกระดูกอ่อน” มื้อเที่ยงที่กินกันไป เอาขาเขี่ย คอ...คา...รวย เข้ารู กันไป จนงูเห่าพ่อคนหื่นตื่นชนิดหัวสั่นกระตุกหงึกๆ ภายใต้เป้ากางเกง ผมละนั่งขำแทบตาย เมื่อเห็นมือเกร็งยื่นออกไปเซ็นบิลจ่ายค่าอาหาร ผมเดินกลั้นขำตามหลังร่างสูงมาหยุดยืนรอลิฟต์เพื่อกลับลงไปทำงานตามเดิม “มานี่เลย” ทันทีเมื่อประตูลิฟต์ปิดมือหนักคว้าท้ายทอยดึงผมเข้าไปหาทันที “อื้อ” จูบหนักลากลิ้นผมออกมาดูจนปากเกือบแตก ทั้งอก ทั้งสะโพกถูกบด ถูกบี้ ถูกขยี้ขยำ จนเสื้อผมยับยู่ยี่อย่างกับผ้าเช็ดตีน “คุณ...เสื้อผมยับหมดแล้ว” “คืนนี้จะเล่นให้ยับเลย ไม่ใช่แค่เสื้อด้วย” เสียงเหี้ยมกระซิบลงมาข้างหู ก่อนประตูลิฟต์จะเปิดออกช้าๆ แล้วมีคนเดินสวนเข้ามา 3-4 คน ผมแกล้งขยับเดินร่นถอยหลังเข้าไปยืนชิดติดกับแฟน แล้วแกล้งถูก้นเบียดเป้ากางเกงตึงๆ “......” มือหนึ่งยื่นมาบีบก้นจนผมเกือบหลุดร้องครางขึ้นมากลางลิฟต์ “ผมไปนะ” ก่อนเดินออกไปผมยื่นมือไปบีบไข่ผัวเป็นการแก้แค้นแล้ววิ่งออกจากลิฟต์กลับเข้าแผนกตัวเองทันที ตอนบ่ายผมได้ทำงานนิดหน่อยคือการลงไปเบิกคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ แล้วนำไปติดตั้งให้กับพนักงานใหม่ที่อยู่ฝ่ายบัญชี ผมลีลาแกล้งทำงานช้าๆ เพราะขี้เกียจลงไปนั่งเล่นว่างๆ ที่แผนกตัวเอง จนมาสะดุ้งโหยงโผล่หัวขึ้นมาจากงานในมือ ตอนได้ยินใครสักคนร้องไห้ฮือๆ พร้อมเสียงซุบซิบนินทาตามประสาสาวๆ “ไม่เป็นไรหรอก คุณนัทเขาก็ดุไปอย่างนั้นแหละ” “นั่นสิ ไม่ต้องคิดมาก ใครๆ ก็เคยทำพลาดทั้งนั้น” “แต่ยังไม่เคยมีใครดุหนูอย่างนี้มาก่อนเลยนะพี่ หนูจะลาออก” “จะออกทำไม เดี๋ยวแก้ตารางที่ทำไปแล้วส่งไปให้คุณนัทดูใหม่ก็เท่านั้นเอง อีกอย่างปกติคุณนัทแวะเข้าบริษัทอาทิตย์ละแค่ 1-2 วันเท่านั้นเอง เดี๋ยวเขาก็กลับลงไปดูงานที่กระบี่แล้ว” “เมื่อเช้ายังเห็นอารมณ์ดีๆ อยู่เลย ไปกินข้าวเที่ยงมาแล้วทำไมอารมณ์เสีย อาหารไม่ย่อยเหรอ?” “นั่นสิคนอะไรหล่ออย่างกับเทพบุตร แต่ดุอย่างกับยมบาล”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD