“หนูพิมพ์ หนูดา แล้วยังมีหนูอะไรอีกครับ”
“ก็คงมีอีกหลายหนู ตราบใจที่แกยังไม่เลือกว่าจะตกลงปลงใจกับใคร” เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนจะแยกตัวจากบิดาไปยังห้องนอนของตัวเอง
กฤษกรนั่งลงที่ปลายเตียง มองไปยังภาพถ่ายครอบครัวขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังห้อง บิดายืนอยู่ด้านหลัง มารดานั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเขาอายุแค่หกขวบยืนอยู่ตรงกลาง นั่นคงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต เขานึกย้อนไปในอดีตวันที่มารดาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ มันนานมากแล้วแต่เขายังไม่เคยลืม วันนั้นบิดากอดเขาแล้วร้องไห้ ปากก็พร่ำบอกว่ามารดาไม่อยู่กับเขา นับเป็นกอดสุดท้าย เพราะนับจากนั้นมาความสัมพันธ์ของเขากับพ่อก็ค่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ร่างสมส่วนนอนหงายแผ่ลงบนเตียงกว้างยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก พ่อใช้ชีวิตเป็นหนุ่มเพลย์บอยอีกครั้ง ใช้ผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ไม่เว้นแม้แต่พนักงานในบริษัท เขาหลับตานิ่งสอดมือเข้าที่ท้ายทอยตัวเองอยากพักสายตาสักครู่
“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงร้องทักดังขึ้นทันทีที่พชิราก้าวเท้าเข้าเขตบ้าน บ้านที่เธอไม่เคยคิดว่ามันคือบ้านสักครั้ง
“ค่ะ”
เธอตอบรับสั้นๆ หน้าตาเบื่อหน่าย กำลังจะผ่านหน้ามารดาบุญธรรมไปยังห้องนอนตัวเอง แต่ก็ถูกมืออวบอูมนั่นรั้งไว้
“เดี๋ยวก่อน” คนเป็นแม่ยืนท้าวเอวจ้องหน้าเธอ
“แกไปเสียตัวให้ไอ้เจ้านายชีกอนั่นมาแล้วใช่ไหม” เธอจ้องหน้ามารดากลับ
“แกอย่ามามองหน้าฉันแบบนั้น ถ้าแกไม่ได้ไปนอนกับมัน มันจะยอมให้เช็คฉันง่ายๆ ไหม อีลูกไม่รักดี!”
ปลายนิ้วอวบอ้วนกดลงที่ตำแหน่งหน้าผากของหญิงสาว แล้วผลักออกอย่างแรงจนคนที่ไม่ได้ตั้งตัวเสียหลักไปสองสามก้าว
“ถ้าบอกฉันมาตรงๆ ฉันจะได้เรียกให้มากกว่านี้” พชิราส่ายหน้าช้าๆ คิดไว้ไม่มีผิด
“พิ้งค์จะมาเก็บของไปอยู่ที่อื่น”
เธอพูดกับมารดาน้ำเสียงเรียบ ดูเหมือนทางนั้นจะไม่ได้สนใจฟังด้วยซ้ำ เพราะสายตากำลังเพ่งมองตัวเลขในกระดาษแผ่นเล็กอย่างชื่นชม
“ดูแลตัวเองด้วยนะ”
เธอหมุนตัวกลับหมายจะรีบเข้าไปเก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะได้ย้ายออกไปจากที่นี่สักที ของเธอมีไม่มากขนไปกับแท็กซี่เที่ยวเดียวก็คงจะหมด อพาร์ตเม้นท์ที่ไปมัดจำไว้ค่อนข้างปลอดภัย ที่สำคัญที่นั่นมีเฟอร์นิเจอร์ให้ครบชุดอาจจะแพงไปหน่อยแต่เธอก็สู้ไหว เพราะมันอยู่ใกล้กับที่ทำงานและเดินทางสะดวก
“แกจะไปอยู่กับเจ้านายแกใช่ไหม... ดีเลย แบบนี้แกต้องกอบโกยเงินไว้เยอะๆ นะยายพิ้งค์ เผื่อวันไหนเขาเบื่อเรา เราจะได้เป็นเศรษฐีนีสบายใจเฉิบ แต่หล่อๆ หนุ่มๆ แบบนั้นแกควรจะจับเขาไว้ให้มั่น ท้องลูกให้เขาสักคน รับรองว่าไม่มีวันหนีไปไหนได้” คนแนะนำกระหยิ่มยิ้มย่องกับความคิดของตัวเอง ในขณะที่คนฟังนั้นเบือนหน้าหนีอย่างเบื่อหน่าย
“นี่แกจะมาเมินหน้าฉันไม่ได้นะอี... เอ่อ... พิ้งค์” เงินมาสรรพนามก็เปลี่ยนไป พชิรายิ้มสมเพชตัวเองอยู่ในใจ ถ้ามีเงินมากกว่านี้เธอคงเป็นคุณพิ้งค์ของแม่
“แม่คะ พิ้งค์ไม่ได้ไปอยู่กับเจ้านายหรอกค่ะ พิ้งค์แค่อยากย้ายออกไปจากที่นี่ตามสัญญาที่เราคุยไว้ อีกอย่างพิ้งค์กับเขาเราไม่ได้มีอะไรกัน พิ้งค์แค่ขอยืมเงินเขา และก็ไปทำงานชดใช้โดยการหักจากเงินเดือนทุกเดือน เพื่อที่พิ้งค์จะได้เป็นอิสระจากแม่” เธอจ้องมารดาบุญธรรมด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา
“พิ้งค์ขอบคุณแม่นะคะที่เลี้ยงดูพิ้งค์มา สองล้านที่แม่ได้ไป... เราหายกันนะคะ”
เธอรู้ว่าฟังดูอาจจะอกตัญญู แต่คนอย่างพรประภานั้นไม่รู้จักพอ ถ้าเธอไม่รักดี ไม่รักการเรียน ป่านนี้ก็คงได้ไปอยู่ซ่องไหนสักแห่ง แต่เพราะเธอไม่เดินเส้นทางนั้น อีกทั้งยังมีเจ้านายผู้ใจดีที่ร้านอาหาร ที่อนุญาตให้เธอไปทำงานพิเศษคอยช่วยเหลือ และพูดจาข่มขู่แม่เอาไว้ นางเลยไม่กล้าทำอะไรกับไปกว่าว่าค่อนขอดทุกครั้งที่เธอไปเรียน แต่มันก็ผ่านมานานกว่าสิบปีแล้ว ที่เธอทำงานเลี้ยงดูส่งเสียตัวเองจนมีชีวิตถึงทุกวันนี้
“มึงโกหก! กูไม่เชื่อมึงหรอก ต่อให้เจ้านายมึงรวยล้นฟ้า แต่ใครจะโง่ให้มึงยืมเงินง่ายตั้งสองล้านฮึอีพิ้งค์”
“ก็ตามใจแม่นะคะ พิ้งค์คงไปห้ามความคิดของแม่ไม่ได้” เธอหมุนตัวเข้าห้องตัวเองไป
“อีพิ้งค์ออกมาคุยกับกูเดี๋ยวนี้นะ! ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง มึงคิดจะไปสบายคนเดียวใช่ไหมอีลูกอกตัญญู! คอยดูกูจะประจานมึง อีพิ้งค์!”
พชิรานั่งงอเข่าอยู่ปลายเตียงยกมือขึ้นอุดหูทั้งสองข้าง มองไปที่ประตูที่ถูกคนด้านนอกทุบอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานนักเสียงรบกวนก็ค่อยๆ เบาลงและหายไปในที่สุด หญิงสาวหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมาจากตู้เสื้อผ้าเก่าๆ เก็บข้าวของที่จำเป็นใส่กระเป๋าและของใช้อีกนิดหน่อย กว่าจะเสร็จก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน เธอเกิดรู้สึกหิวขึ้นมาจึงออกมาหาอะไรในตู้เย็นกิน บ้านทั้งหลังเงียบสงบลง แสงไฟจากในห้องนอนของมารดายังคงเปิดสว่างจ้าอยู่ เธอมองไปรอบๆ แล้วรู้สึกใจหาย อย่างน้อยตั้งแต่จำความได้เธอก็อยู่ที่บ้านหลังนี้มาตลอด แม้มันจะไม่อบอุ่นแต่มันก็เป็นที่ซุกหัวนอน หลบฝนหลบแดดจนนกน้อยตัวนี้ปีกกล้าขาแข็ง