ลินดาได้แต่แอบมองไมเคิลกับปรียาภัทรที่พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม น้อยครั้งที่เธอต้องพูดออกไปบ้างเพราะปรียาภัทรหันมาถามเธอ แค่ได้ใกล้ชิดเขาเพียงเท่านี้เธอก็มีความสุขมากแล้ว
ทั้งหมดกินอาหารเสร็จก็เกือบบ่ายโมง ไมเคิลขอแยกตัวกลับไปที่แผนกของตัวเอง ส่วนลินดากับปรียาภัทรก็เดินตรงกลับไปที่แผนกของตัวเองเช่นกัน
ปรียาภัทรนั่งทำงานได้เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น
“ไรซ์พูดค่ะ”
“ไรซ์ เข้ามาหาผมที่ห้องหน่อยสิ”
“ได้ค่ะบอส” ปรียาภัทรวางหูโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นเดินไปยังห้องของปีเตอร์
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“เข้ามา” เมื่อเจ้าของห้องอนุญาต ปรียาภัทรจึงเปิดประตูเข้าไปทันที
“บอสมีอะไรหรือคะ”
“นั่งลงก่อนสิ” เขาผายมือให้เธอนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานของเขา
“ผมได้ข่าวมาว่าวันนี้อารอนนัดคุณใช่ไหม”
“เอ่อ…ใช่ค่ะ” เธอไม่แปลกใจเลยที่ปีเตอร์รู้เรื่องนี้ได้ยังไง ก็ทั้งคู่ออกจะสนิทสนมกันเสียขนาดนั้น
“อย่างน้อยผมก็หวังไว้ว่าพรุ่งนี้จะได้เห็นบทสัมภาษณ์ของอารอนมาอยู่ในมือผมส่วนหนึ่งนะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะบอส”
“โอเค ถ้างั้น คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะ”
“ค่ะ” เธอเอ่ยลาแล้วลุกออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว
แทนที่จะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เธอเลือกที่จะเดินมาที่ห้องน้ำหญิง คราวนี้เธอจะไม่พลาดอีกแน่ หญิงสาวเดินมาอย่างมุ่งมั่น เลือกห้องน้ำที่ว่างที่อยู่ด้านในสุด ก้าวเข้ามาด้านในก็จัดการกดล็อกอย่างดี
กรี๊ดดดดดด!
หญิงสาวกรีดร้องออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ไปตามที่เขานัดไว้เสียหน่อย กะว่าจะนัดสัมภาษณ์เขาที่อื่นที่ไม่ใช่เพนต์เฮาส์ แต่เขากลับบีบบังคับเธอผ่านทางปีเตอร์ เธอจะทำอย่างไรได้ล่ะ นอกจากต้องไปหาอย่างที่เขาต้องการ แต่ก่อนอื่นเธอคงต้องไปรื้อเศษกระดาษที่เธอขยำทิ้งไปเสียก่อน
พอเลิกงานเธอก็รีบตรงดิ่งกลับมาที่อพาร์ตเมนต์ จัดการอาบน้ำแต่งตัวใหม่ แล้วออกไปตามนัด จุดหมายปลายทางก็คือ ‘เพนต์เฮาส์ของอารอน เรมี่’
หญิงสาวเดินตรงเข้าไปแจ้งเจ้าหน้าที่ด้านล่างตัวอาคารว่ามาพบอารอน เรมี่ และแจ้งที่อยู่ตามที่เขาเขียนใส่กระดาษให้เธอ เจ้าหน้าที่สาวโทรศัพท์เพียงครู่จึงแจ้งให้เธอขึ้นไปด้านบนได้
เข้ามาในลิฟท์แล้วกดไปยังชั้นบนสุดของอาคารแห่งนี้ ชั้นที่ครั้งหนึ่งเธอได้เคยสัมผัสมาแล้ว แถมยังเป็นบนเตียงของเจ้าของห้องอย่าง ‘อารอน เรมี่’ เสียด้วย ใจดวงน้อยๆ เต้นแรงมากขึ้น เมื่อลิฟต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาด้านบน และสุดท้ายก็มาหยุดตรงชั้นที่เป็นเพนต์เฮาส์ของอารอน
เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่สองสามครั้ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอกำลังตื่นเต้น
หญิงสาวเดินมาหยุดยืนหน้าประตูห้อง กำลังจะลงมือเคาะประตู แต่…
“ตรงเวลาดีนี่ ฮันนี่” เขาทักเธอด้วยรอยยิ้มกวนๆ เช่นเคย ส่วนเธอก็เบ้ปากใส่เขาอย่างที่เคยทำทุกครั้งเช่นกัน ชายหนุ่มไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่อมยิ้มตามหลังเมื่อหญิงสาวก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับจัดการกดล็อกประตูห้องเสร็จสรรพ
เขาพาเธอมานั่งที่ห้องรับแขก ปรียาภัทรเกิดอาการประหม่าอีกครั้งเมื่อต้องมาอยู่กับเขาสองต่อสอง แต่เธอพยายามเก็บอาการเหล่านั้นไว้
“ดื่มอะไรหน่อยไหม ฮันนี่” อารอนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“นี่คุณ เมื่อไรจะเลิกเรียกฉันว่าฮันนี่สักที” หญิงสาวไม่ตอบในสิ่งที่เขาถาม แต่กลับต่อว่าเรื่องที่เขาถือวิสาสะเรียกเธอว่า ‘ฮันนี่’ เธอเคยต่อว่าเขาไปหลายครั้งแล้วแต่ดูเหมือนอารอนแสร้งทำเป็นไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
“แหม…คุณก็รู้นี่ ชื่อเล่นคุณน่ะเรียกยากจะตาย ผมเรียกไม่ถูกหรอก” ใช่ว่าเขาไม่เคยจะฝึกเรียกชื่อเล่นของเธอที่เป็นภาษาไทยเสียเมื่อไร แต่เวลาที่เขาเอ่ยออกมาก็กลายเป็น ‘คาวฮอม’ แทน ‘ข้าวหอม’ เสียทุกที จนเพื่อนสนิทของเขาอย่างแพทริกหัวเราะจนท้องขดท้องแข็งไปเสียทุกครั้งที่เขาพยายามออกเสียงชื่อของเธอ จนเขาถอดใจ เรียกฮันนี่น่ะดีแล้ว
“แต่คุณเรียกฉันว่าไรซ์เหมือนคนอื่นๆ ก็ได้นี่” หญิงสาวยู่หน้าอย่างไม่พอใจ
“เรื่องอะไรที่ผมจะต้องเรียกคุณแบบนั้น เพราะผมไม่ใช่คนอื่นๆ สำหรับคุณ”
“เอ่อ…งั้นฉันขอน้ำเปล่าแก้วนึงดีกว่าค่ะ” เมื่อเห็นว่าเรื่องดูเหมือนจะเข้าตัว หญิงสาวจึงเฉไฉแสร้งเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ได้ครับ” เขาส่งยิ้มบางๆ ให้ ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงเดินไปยังส่วนที่เป็นห้องครัว แต่ก่อนจะเดินออกไป ยังไม่วาย หันมาทิ้งคำพูดที่ทำให้เธอต้องใจสั่นระรัว
“น้ำพั้นซ์สีฟ้าหน่อยไหม บางที…คุณอาจจะชอบมันก็ได้นะ” ว่าจบก็เดินจากไป ปล่อยให้เธอตกใจสะดุ้งจนตัวโยนกับคำพูดของเขา ไม่มีทาง! เขาไม่มีทางจำได้แน่!
อารอนเดินกลับมาพร้อมน้ำเปล่าในมือสองแก้ว เขาไม่ได้เอาน้ำพั้นซ์สีฟ้าอะไรนั่นมาให้เธออย่างที่บอก เขาถือน้ำมาวางตรงหน้าเธอหนึ่งแก้ว ส่วนอีกแก้ววางลงตรงหน้าตัวเอง พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาดังเดิม
“โทษทีนะฮันนี่ ผมลืมไปว่าน้ำพั้นซ์สีฟ้ามันหมด ไว้คราวหลังผมจะเตรียมไว้ให้นะ” อารอนยกยิ้มที่มุมปาก
“มะ…ไม่เป็นไร คือฉันชอบดื่มน้ำเปล่า” หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“จริงเหรอครับ” เขาถามราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด จนปรียาภัทรต้องตวัดสายตาขุ่นส่งไปให้
“โอเคๆ ผมเชื่อแล้วก็ได้” เขาไหวไหล่กว้างเบาๆ
“คุณพร้อมจะให้ฉันสัมภาษณ์ได้หรือยัง”
“สัมภาษณ์อะไรกันคุณ”
“อ้าว…ก็คุณนัดให้ฉันมาหาเรื่องสัมภาษณ์ไม่ใช่หรอกหรือคะ” ปรียาภัทรถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์
“ผมบอกคุณอย่างนั้นเหรอ”
“นี่! คุณอารอนเลิกกวนประสาทฉันสักที โอเค ถ้าวันนี้คุณยังไม่พร้อม งั้นฉันขอตัวกลับก่อน” หญิงสาวรุกพรวดพราด ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว และพรุ่งนี้ก็จะไปบอกปีเตอร์ให้เปลี่ยนคนอื่นมาแทน
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ โอเคๆ ผมยอมแล้ว” เขายกมือขึ้นสองข้างทำท่ายอมแพ้ หญิงสาวจึงยอมนั่งลง
“แต่ผมมีข้อแม้”
“ข้อแม้อะไรคะ”
“การที่จะสัมภาษณ์ผมแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ผมคิดว่าคุณคงจะรู้ดีว่าไม่ใช่แค่สัมภาษณ์ผมครั้งสองครั้งแล้วจะได้ข้อมูลทั้งหมด ต้องติดตามดูกิจวัตรประจำวันในแต่ละวันของผมด้วย”
“เรื่องนั้นฉันทราบดีค่ะ”
“งั้น…ก็โอเค จริงๆ แล้วผมน่ะไม่ค่อยให้ใครมายุ่มย่ามกับชีวิตส่วนตัวมากเท่าไรหรอก แต่นี่เห็นว่าเป็นคุณ ผมถึงได้ยอม”
“ขอบคุณมาก…ค่ะ” เธอกัดฟันตอบเขาไป
“แต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยนอีกนิดนึง”
“อะไรอีกล่ะ”
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป คุณต้องย้ายมาอยู่กับผมเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
“อะไรนะ!”
“คุณกลัวอะไร ในเมื่อคุณก็รู้นี่ว่าผมเป็นเกย์” ในเมื่อเธอคิดว่าเขาเป็นเกย์ เขาก็จะปล่อยให้เธอเข้าใจแบบนั้นต่อไป
“ฉันไม่ได้กลัว” เสียงหวานสะบัดตอบ แต่ถ้าเอาเรื่องจริงก็คือ ‘กลัว’
“งั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไรนะ เพราะคุณจะได้ข้อมูลของผมชนิดที่ว่าถึงรูขุมขนเลยล่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“แต่คุณไม่ต้องกังวลหรอกนะว่าจะได้อยู่กับผมแค่สองคน”
“คุณหมายความว่าไง”
แล้วเธอก็เข้าใจความหมายที่ว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน เมื่อเขาพาเธอเข้ามาในห้องๆ หนึ่งและภายในห้องก็มีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอาศัยอยู่ สุนัขพันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียสีขาวที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงขนาดกะทัดรัดที่ตั้งอยู่กลางห้อง