“ไว้เจอกันนะคะคุณชล”
เธอโบกมือให้ ชลธรแค่ยิ้มรับแล้วรีบพาตัวเองขึ้นรถบึ่งไปยังสนามบินทันที เขาดูจากจีพีเอสระยะทางแค่สามสิบนาทียังพอมีเวลาอีกเหลือเฟือ ก็แค่อยากจะปลีกตัวจากครอบครัวนั้นก็เท่านั้น
อำนาจกุลีกุจอเข้าไปรับกระเป๋าเดินทางจากเจ้านาย ทันทีที่เขาโผล่หน้าออกมาจากประตูทางออกของผู้โดยสาร ผู้สูงวัยแต่ยังคงกระฉับกระเฉงรีบยกกระเป๋าใส่ท้ายกระโปรงรถอย่างคล่องแคล่ว ชลธรรู้ดีว่าคนที่มีครอบครัวแล้วย่อมอยากอยู่กับครอบครัว มากกว่าที่จะต้องตะลอนตามเขาไปทั่วทุกทิศ ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่า แรงเขามักจะเดินทางเพียงลำพังเสียมากกว่า เพราะอำนาจไม่ได้เป็นเพียงแค่ขี้ข้า ทว่าเขาคือญาติผู้ใหญ่อีกคนที่ตนเองนับถือ
“เรียบร้อยไหมครับคุณชล”
“ไม่มีปัญหาครับ”
“คุณชยุตต้องภูมิใจมาก ๆ แน่เลยครับ ที่ดินผืนนั้นเราเฝ้าติดตามกันมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ คุณลูก จนมาถึงคุณหลาน สามรุ่นด้วยกันเลยทีเดียวเชียว”
อำนาจเองก็เคยไปเยือนที่นั่นกับชยุต แต่ถูกตะเพิดไล่มาอย่างไม่เป็นท่า เขาเหลือบสายตามองกระจกมองหน้าเห็นเจ้านายหนุ่มเอนศีรษะพิงพนัก แล้วหลับตาลงเป็นการตัดบทสนทนา จึงไม่พูดอะไรต่อจนกระทั่งรถคันหรูเลี้ยวเข้าจอดใต้ตึกของคอนโด
“เรื่องที่ผมให้หาได้เรื่องไหมครับ”
“ครับ” ซองสีน้ำตาลถูกยื่นให้จากคนได้รับมอบคำสั่ง เขามองที่มือเหี่ยวย่นตามอายุ ก่อนจะรับซองนั้นมาถือไว้
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้างครับ”
“เธอไม่ได้มาที่บริษัท แล้วก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยครับ ผมให้คนคอยเฝ้าดูอยู่”
อำนาจประสานมือไว้หน้าตักตัวเองเมื่อตอบคำถามกับเจ้านาย ไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือน้อยกว่า หากเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้ คนผู้นั้นคือผู้มีพระคุณที่เขาต้องให้ความเคารพ
“ผิดไปจากที่คิด” ชลธรพูดคนเดียว ขณะที่อำนาจกำลังยกกระเป๋าลงจากท้ายรถ
“คุณชลครับ” อำนาจกระอักกระอ่วนใจ แต่หากไม่ได้ถามเจ้าตัว เขาเองก็ไม่มีโอกาสได้รู้เรื่องจริง
“ครับ” คนถูกเรียกสบตา แม้จะไม่ได้แข็งขึงแต่มันก็มีพลังบางอย่างที่ทำให้เลขาสูงวัยกล้า ๆ กลัว ๆ
“จะถามอะไรเหรอครับ”
“คุณชลจะไม่ช่วยคุณปาเรื่องงาน จริง ๆ เหรอครับ”
ชลธรนิ่งไปชั่วครู่ เขาคงต้องทบทวนเรื่องนี้ใหม่ หากหญิงสาวอยากจะขอกลับมาทำงานด้วยกันอีก ทว่าเธอหายไปเลยไม่ติดต่อกลับมาไม่ว่าจะเป็นช่องทางไหน ผิดแผกไปจากที่คิด ผู้หญิงคนนี้กำลังปั่นประสาทเขาอยู่จนเขาแทบจะทำงานไม่รู้เรื่อง
“แล้วคุณคิดว่าคุณปาของคุณทำงานเก่งคุ้มค่าที่จะให้ผมช่วยไหม”
“เรื่องงานเธอก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร ทำงานตามคำสั่งได้ดี งานที่ต้องใช้ความคิดก็ไม่ได้แย่ แต่เพราะเธอเป็นเด็กน่ารัก อ่อนหวาน มีสัมมาคารวะ รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ใครอยู่ใกล้ก็สบายใจและเต็มใจจะสอนงานให้ ที่สำคัญเธอใจเย็นมากครับ”
“ใจเย็นเหรอ” เขาทวนคำของเลขา ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก
“แต่ไปตบกับคนของคุณสุเนี่ยนะครับ”
อำนาจยิ้มแห้ง ด้วยไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่ จนกระทั่งมีคำสั่งให้ไปสืบเรื่องของหญิงสาว เขาคงแน่ใจได้แล้วว่าผู้หญิงในค่ำคืนที่เร่าร้อนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากปาลิน หญิงสาวที่เขาเพิ่งชื่นชมให้เจ้านายฟังเมื่อสักครู่
“ผมฝากคุณอำนาจช่วยเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องให้ด้วยนะครับ ผมมีธุระต่อ” เสียงสัญญาณปลดล็อกประตูรถอีกคันดังขึ้นใกล้ ๆ ร่างสูงใหญ่เดินอ้อมเลขาไปยังรถสปอร์ตที่จอดอยู่
“เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
เลขาสูงวัยได้แต่โน้มศีรษะให้ ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้านายหนุ่มจะไปยังที่ใด เขามองตามป้ายทะเบียนเลขตองค่อย ๆ ลับสายตา เมื่อมันทะยานออกไปบนถนนสายหลัก เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มละไมบนหน้า อดนึกถึงคุณผู้หญิงไม่ได้ หากนางยังอยู่ชลธรคงมีความสุขมากกว่านี้
“แกนะแกจริง ๆ เลย ทำไมถึงดื้ออย่างนี้ ดูสิ ...ตัวร้อนจี๋ยังไม่ยอมไปหาหมออีก” คนบ่นบิดผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กตากไว้ที่ขอบอ่าง แล้วหันมาค้อนคนดื้อที่นอนซมเพราะพิษไข้มาสองวันเต็มๆ
“ถ้าพรุ่งนี้แกยังอยู่ในสภาพนี้ ฉันจะไปจองวัดรอแกเลย... คอยดูสิ!”
ณิชชยายังคงบ่นไม่เลิก ตั้งแต่รู้ว่าเพื่อนป่วยเธอก็ร้อนใจ แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้มาดูแลเพื่อนสนิทได้หลังจากเลิกงานเท่านั้น
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หายแล้ว แกจะบ่นเป็นยายไปทำไมกัน” น้ำเสียงแหบพร่าของคนบนเตียงแย้งเบา ๆ
“หายกับผีอะไร นี่แกเป็นหนักกว่าเมื่อวานอีกนะ แล้วฉันจะกลับบ้านได้ยังไงแกป่วยอยู่อย่างนี้” คนเยี่ยมมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด จนคนป่วยต้องฝืนยิ้มเพราะอยากให้เพื่อนสบายใจขึ้น
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่ะ แกก็เวอร์ไป” จากนั้นเสียงไอก็ตามขึ้นมาฟ้องให้คนเก่งได้อาย
“นั่นไง... พูดไม่ฟัง แล้วไอ้ยาที่ซื้อกินเองนี่หยุดสักทีเถอะ ไม่รู้ละพรุ่งนี้เช้าแกต้องไปหาหมอกับฉัน ฉันจะลางานไปเป็นเพื่อนแกเอง”