“ผมมีธุระคุยกับเพื่อนของคุณ... ตามลำพัง”
ณิชชยารู้ในทันทีว่าเธอคือส่วนเกิน แต่มันจะดีไหมหากจะปล่อยเพื่อนที่กำลังป่วย ไว้กับผู้ชายหล่อเหลาหน้าตาดีตามลำพัง
“ผมไม่ทำอะไรเพื่อนคุณหรอก ยกเว้นแต่ว่าเพื่อนคุณอยากจะให้ทำ”
คนพูดปลายตาคนที่นอนมองอยู่ เขาเห็นเธอถลึงตาประหนึ่งไม่อยากให้เพื่อนรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ใคร ๆ ก็อยากประกาศตัวกันแทบทั้งนั้น นี่ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาเสียความมั่นใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
“แก... แกอยู่ได้ใช่ไหม” ณิชชยาไม่อยู่รอให้เจ้านายหนุ่มออกปากไล่เป็นครั้งที่สอง
“ขอบใจแกมากนะณิช”
เพราะไม่อยากให้เพื่อนล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ อีกทั้งไม่อยากตกอับในหน้าที่การงาน ทำให้ปาลินจำต้องปล่อยให้เพื่อนกลับไปก่อน
“หนูลานะคะ” เธอพยักหน้าให้เพื่อนก่อนจะหันกลับมาทำความเคารพเจ้านาย
“เดี๋ยวก่อน” เขารั้งเธอไว้
“หนูสัญญาค่ะว่าหนูจะไม่พูดเรื่องที่เห็นกับใคร หนูจะไม่รู้ไม่เห็นไม่อะไรทั้งนั้น” คนร้อนตัวรีบโพล่งขึ้นมาเสียก่อน ด้วยความหวาดกลัวเลยไม่เห็นรอยยิ้มที่มุมปากผิดกับปาลินที่จ้องเขาอยู่
“เปล่า ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น พรุ่งนี้ผมอาจจะไม่ได้เข้าบริษัท ยังไงฝากคุณเอาเอกสารฉบับนี้ไปให้คุณอำนาจให้ผมด้วย” เขายื่นซองสีขาวที่ทำขึ้นมาเมื่อสองวันก่อนให้เธอ ณิชชยาถึงกับหน้าเสียเมื่อคิดว่าตนเองอาจจะถูกไล่ออกอีกคน
“หนูถูกไล่ออกเหรอคะ” มืออันสั่นเทายื่นออกมารับอย่างน่าสงสาร
“ไม่ใช่ของคุณ แต่เป็นของเขา”
เขาเหลือบมองไปยังคนที่นอนเอนด้วยใบหน้าซีดเซียว ซองนั้นคือหนังสือคืนตำแหน่งให้กับปาลิน ซึ่งเขาเซ็นไว้ตั้งแต่วันที่เดินทางไปต่างจังหวัด แต่ยังลังเลเลยไม่ได้ให้อำนาจไป
“ช่วยล็อกประตูให้ผมด้วย”
เขาพูดเพียงเท่านั้นแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขาทั้งสองข้างนำพาร่างใหญ่สมส่วนไปยังเตียงขนาดเล็กที่นอนพอดีตัวเพียงคนเดียว
“ไม่สบายแล้วทำไมไม่ไปหาหมอ”
แม้จะล่วงเลยมาแล้วถึงสามวัน แต่รอยรักที่ฝากไว้ยังคงเด่นชัด ทั้งต้นคอ ต้นแขน และเนินหน้าอก เขาตั้งใจทำเพราะอดไม่ไหว ทั้งที่ปกติแล้วไม่ใช่คนอยากอวดศักดาอะไร แต่เนื้อขาว ๆ หอม ๆ นั่นยั่วยวนจนเขายั้งตัวเองไม่อยู่
นั่นไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะเธอต่างหาก
“ซื้อยามากินแล้วค่ะ เดี๋ยวก็หาย”
“ลุกขึ้น แต่งตัว เดี๋ยวฉันจะพาไปหาหมอ”
“ไม่ต้องค่ะ” เธอรีบปฏิเสธเสียงแข็ง ทำให้คนที่อุตส่าห์หวังดีถึงกับหน้าชา
“คุณยังรออะไรอยู่อีกไม่ทราบ” คำปฏิเสธของหญิงสาว ทำเอาเขาพาลหงุดหงิดใส่คนที่กำลังอ้อยอิ่งไม่ยอมออกไปจากห้องเสียที
“ไปแล้วค่ะ”
ณิชชยารีบใส่รองเท้าแล้วเปิดประตูทันที บานประตูถูกปิดลง เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นค่อยห่างออกไป ทำให้คนตัวสูงเท้าเอวมองสภาพของปาลินให้ถนัดตาขึ้น
“ลุกขึ้น”
เขาออกคำสั่งอีก แต่เธอไม่ได้ทำตาม หญิงสาวนอนนิ่งเฉยไม่ไหวตัว ทำให้คนที่ชีวิตนี้ไม่เคยเจอใครอวดดีกล้าปฏิเสธอดทนต่อได้ไหว
“ฉันบอกให้ลุกขึ้นยังไงล่ะ”
ฝ่ามือใหญ่เกาะรั้งที่เรียวแขนบอบบางกระชากเสียงเต็มแรงจนร่างบางเซตาม แต่แล้วคนกระทำก็หน้าเสียเมื่อสัมผัสรู้ว่าเนื้อตัวของหญิงสาวร้อนยิ่งกว่าไฟ
“ตัวร้อนขนาดนี้ยังจะดื้ออีก” เขาบ่นก่อนจะผ่อนแรงลงเป็นโอบกอดเธอแทน
“ปล่อยค่ะคุณชล” เธอผลักเขาให้ออกห่าง แต่ดูเหมือนไม่ง่ายเลย
“จะเล่นตัวอะไรอีก”
“ไม่ได้เล่นตัวอะไรทั้งนั้นค่ะ อย่าทำแบบนี้กับปา ปาไม่ใช่ของเล่นของคุณ”
“แล้วที่เธอให้ฉันเล่นคืนนั้นล่ะ” เจอคำถามนี้เข้าไปถึงกับทำเอาปาลินไปไม่เป็น
“คืนนั้นมันจบไปแล้วค่ะ”
“เช็คที่ให้ทำไมต้องฉีกทิ้ง หรือว่ามันน้อยไป”
เขากระซิบชิดริมใบหูเล็กตั้งใจแกล้งเธอ และมันก็ได้ผลเมื่อเลือดในร่างกายสูบฉีด ส่งให้แก้มนวลแดงราวกับลูกมะเขือเทศ
“มันคงมากสำหรับผู้หญิงขายตัว แต่สำหรับปามันไม่มีค่าอะไรเลย” เพราะสำหรับเธอ... สิ่งที่สูญเสียไปแล้ว มันมีค่ามากกว่าที่เศษเงินของคนรวยจะตีค่าได้
“โกรธที่ฉันให้เงินอย่างนั้นเหรอ”
“เปล่าค่ะ” ชลธรคลี่ยิ้ม ก่อนส่ายหน้าช้า ๆ
“คุณจะพาปาไปไหน” เธอร้องประท้วง เมื่อเขาเปลี่ยนมาเป็นอุ้มเธอขึ้นแนบอกแทน
“ไปหาหมอ”
“ไม่นะคะ!”
คนรู้คำตอบถึงกับหน้าถอดสี หากไปหาหมอตามที่เขาบอ กก็เท่ากับไปเพื่อประจานตัวเอง ทั้งรอยแดงช้ำตามร่างกาย และรอยจูบเต็มตัว ยิ่งในร่มผ้ามันมากกว่าภายนอกหลายเท่าตัว แค่นี้เธอยังอับอายไม่พอหรืออย่างไร หญิงสาวฝืนตัวสุดกำลัง แต่มีหรือจะชนะคนอย่างชลธรได้
ตลอดการตรวจร่างกาย ปาลินลอบมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความลำบากใจ ก็ดีอยู่ที่คุณหมอคนนั้นเป็นคนที่ชลธรรู้จัก แต่เธอก็ยังอับอายอยู่ดี ยิ่งแต่ละประโยคที่ผู้ชายเขาคุยกัน ยิ่งทำเอาเธอแทบแรกแผ่นดินหนี
“ไปทำอีท่าไหนวะ”
“ก็ท่าเบสิกทั่ว ๆ ไปน่ะ”
เธออยากจะมุดแผ่นคอนกรีตหนีไปขั้วโลกเหนือเสียให้รู้แล้วรู้รอด ดูสีหน้าคนตอบกับคนถามยียวนกวนประสาทไม่แพ้กัน คิดบ้างไหมว่าคนที่นั่งอยู่ด้วยจะอับอายแค่ไหน