ความสัมพันธ์ของเธอและเขาระหองระแหงจนเกือบสุดทางก็จริง แต่เธอจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงเขากลับมาอยู่ข้างใจกันเหมือนในวันวานให้ได้
ปุณณดาไม่ได้ถูกสั่งห้ามไม่ให้มาที่นี่ แต่เธอไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมา เพราะเธอเชื่อใจเขา เชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะเป็นคนที่จูงมือเธอเดินผ่านประตูกระจกบานใหญ่นั้นเข้าไปด้านในเอง แต่รอแล้วรอเล่าจนผ่านมาสี่ปีก็ไม่มีวี่แวว กระนั้นปุณณดาก็ไม่ได้หมดหวัง เธอรู้ว่าเขายุ่ง จึงพยายามไม่เก็บเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาขบคิดให้รบกวน เธอลูบไล้หน้าท้องแบนราบขณะแหงนหน้าขึ้นมองตึกสูงเสียดฟ้าจนคอตั้งชันด้วยความภาคภูมิใจ
‘นี่บริษัทของพ่อหนูนะลูก พ่อของหนูเป็นคนเก่งมาก แม่ภูมิใจในตัวของพ่อหนูมาก’
เธอพึมพำขณะทอดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณ... ตึกสูงชั้นแปดสิบสี่ชั้น แค่ย่างเท้าเข้ามาด้านในขนในกายทุกก็ลุกชัน เครื่องทำความเย็นกำลังรุมล้อมมาที่ตัวเธอ ปุณณดาส่งยิ้มไปให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ที่โต๊ะทรงโค้งครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ พนักงานแต่งชุดยูนิฟอร์มเรียบร้อยสีเดียวกับโลโก้ของบริษัท เธอส่งยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร
“ติดต่อเรื่องอะไรคะ” พนักงานสาวคนหนึ่งลุกขึ้นยืนถามเธอด้วยน้ำเสียงสุภาพและนอบน้อม
“มาขอพบคุณนรวีร์ค่ะ”
“นัดไว้หรือเปล่าคะ” คงเป็นด่านแรกที่ต้องซักถามอย่างละเอียด ก็สามีเธอเป็นคนใหญ่คนโต และเธอก็พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
“ไม่ได้นัดไว้ค่ะ เอ่อ... เอ่อ...”
“ให้บอกไหมคะว่าใครมาขอพบ” เจ้าหน้าที่คนเดิมยิงคำถามด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“ปอยค่ะ ปอยเป็นภรรยาของเขา”
นึกเขินอายยามที่บอกตำแหน่งของเธอให้ใครฟัง ปุณณดาไม่เคยออกงานกับสามีที่ไหน ลำพังการแนะนำตัวก็จบสิ้นไปแล้วตั้งแต่เธอเป็นนักศึกษาปีสุดท้าย นั่นคือการแนะนำกับกลุ่มเพื่อน ๆ ของเขาที่มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น
“คุณปอย... ภรรยาของคุณนรวีร์”
พนักงานคนเดิมพูดทวนคำพร้อมกับยิ้มเจื่อน เธอต่อสายไปที่ไหนสักแห่ง จากนั้นก็ผายมือให้หญิงสาวไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นบน
“คุณปอยไปที่ชั้นเจ็ดสิบเก้านะคะ ติดต่อกับคุณกาญจนา... เลขาของคุณนรวีร์ค่ะ”
หมดหน้าที่ของเธอแล้วก็กลับลงมานั่งที่เดิม จากนั้นก็สะกิดเรียกให้เพื่อนที่นั่งหันหลังอีกสองคนจับกลุ่มนินทากัน ปุณณดาเห็นอากัปกิริยานั้นแต่เธอไม่ได้สนใจ ยืนรอลิฟต์ด้วยใจจดจ่อ สายตาก็จ้องมองกับปิ่นโตสีลูกกวาดในมือด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
ทันทีที่ประตูของห้องโดยสารสี่เหลี่ยมถูกเปิดกว้างปุณณดาก็ก้าวเท้าออกมา บังเอิญว่าขณะนี้เป็นเวลาพักกลางวันทำให้พนักงานส่วนหนึ่งไม่อยู่ที่ชั้น อาจจะรวมถึงเลขาของเขาด้วย หญิงสาวจึงเดินมาเรื่อย ๆ จะเรียกว่าถือวิสาสะก็เป็นไปได้ เธอเดินเลยไปยังส่วนที่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของเจ้าของตึกนี้ เพราะมองว่าด้านหน้านั้นมีเก้าอี้ตัวยาวสีขาววางไว้อยู่ติดกับกระจกใสวิวตรงนั้นสวยงามมาก สามารถมองเห็นความสวยงามของโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างพอดิบพอดี เธอตั้งใจจะนั่งรอตรงนั้นแล้วติดต่อสามีอีกครั้ง หลังจากลองโทรแล้วตอนที่จะขึ้นรถแท็กซี่ที่บ้าน เกรงว่าเขาจะออกไปทานอาหารข้างนอกเสียก่อน แต่จนป่านนี้เขาก็ยังไม่โทรกลับ แล้วก็ไม่ส่งข้อความกลับมาแต่อย่างใด แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญที่จะทำให้เธอล้มเลิกความความตั้งใจ ปุณณดากำลังชื่นชมกับข้าวในมือ เธอเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับผู้หญิงสวยและเซ็กซี่คนหนึ่งกำลังเดินผ่านหน้าไป
เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นเป็นจังหวะขยับเยื้องกายเข้ามาใกล้ ปลุกคนที่ปล่อยให้สติหลุดลอยกลับคืนเข้าร่องเข้ารอย นรวีร์หันกลับมาจ้องร่างบาง วันนี้นิชานาถเซ็กซี่กว่าครั้งไหน ๆ เธอสวมเดรสสั้นแค่คืบเกือบเห็นโคนขาอ่อน และเสื้อปาดไหล่กว้างสีกรมท่า ยิ่งขับผิวขาวให้เธอดูเปล่งประกายเจิดจรัสยามยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย หญิงสาวแสร้งเป็นก้มลงเล็กน้อยเพื่ออวดร่องอกอวบ มันยิ่งเร้าใจเขาจนกลืนก้อนเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก
“วันนี้คุณสวยจัง”
“ก็ทำตัวให้เหมาะสมกับคุณยังไงล่ะคะ”
เธอขยับเข้าหาพร้อมกับเขย่าเท้าขึ้นกระซิบชิดริมหู มือบางโอบกอดรอบคอของเขาไว้ ดันแผ่นหลังแข็งแกร่งให้ไปกระทบกับผนังกระจก ไม่ได้สนใจสายตาผู้คนที่มีเดินผ่านไปมาประปราย ทั้งคู่เป็นคู่รักกัน... ใครในที่นี้ต่างรู้ดี
“สีหน้าคุณดูเครียดจังค่ะ”
ปลายนิ้วเรียวเชยคางของผู้ชายที่กำลังจะมาเป็นคู่หมั้นของเธอในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าขึ้นเพื่อสบตากัน นิชานาถนั้นมีความสูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ ทุกอย่างดูสมส่วนไปหมดทั้งเครื่องหน้าที่ดูโฉบเฉี่ยวและหุ่นสะโอดสะอง น่ามองไปหมดไม่ว่าจะเป็นหน้าอกขนาดคัพซีและสะโพกผายเต็มมือ แตกต่างกับอีกคนที่มีใบหน้าหวานและรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กไปถนัดตาเมื่อยืนเทียบเคียงกับเขาที่มีความสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ไม่มีสักวันที่เขาไม่คิดเอาภรรยาตัวเองมาเปรียบเทียบกับผู้หญิงในอ้อมกอดอยู่ตอนนี้ แต่ผลสุดท้ายก็ทำให้เขาลังเลอีกจนได้ ทั้งที่ปากก็พูดออกไปแล้วว่าเลือกใคร แต่ใจของเขามันยังสับสนไม่เลิก เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย