วัวใช้เวลาเท่ากับไก่ออกไข่ แต่จำนวนที่ได้ออกมาหน่อยกว่ามากนัก วันหนึ่งนางเพิ่งจะเก็บนมได้เพียงหกสิบขวดเท่านั้น แล้วเมื่อไหร่จะได้ครบห้าพันขวดเล่า
“จะเพิ่มคอกวัวต้องทำเช่นใด” ผ่านมาสองวันนางก็เอ่ยถามเสี่ยวไป๋
“เข้าต้องปลูกข้าวสาลีเพิ่มอีกสามโรง” หรันเยี่ยฟังจบก็เบ้ปากทันที
แต่นางก็ต้องทำ เพื่อจะได้ผ่านด่าน สุดท้ายนางต้องปลูกข้าวสาลีต่ออีกสามวันเพื่อให้เต็มสามโรงเก็บ กว่าจะได้คอกวัวที่มีวัวมาเพิ่มอีกห้าตัว นางใช้เงินหนึ่งร้อยตำลึงนิดๆ ที่เหลือซื้อวัวทันที
ตอนนี้นางจึงเก็บนมได้ต่อวันเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบขวด ผ่านมาเกือบสิบวัน นางมีนมวัวเพียงพันกว่าขวดเท่านั้น ด่านนี้ดูดพลังของหรันเยี่ยไปไม่น้อย เพราะนางต้องปลูกข้าวสาลีเพิ่มอย่างไม่รู้จบ นางยอมกัดฟันปลูกเพิ่มเพื่อให้ได้อีกสามโรง จนมีคอกวัวในมิติสามคอกแล้วตอนนี้
เครื่องผลิตแป้งก็ปรากฏขึ้น เมื่อนางมีโรงเก็บข้าวสาลีถึงเก้าโรง ครั้งนี้หรันเยี่ยไม่ยอมให้เสียเวลาไปเปล่าๆ นางจัดการแปรรูปข้าวสาลีเป็นแป้งทันที
ตอนนี้ผักที่มีอยู่ทั้งหมดก็ถูกทำเป็นผักดองเรียบร้อยแล้ว พอนางรู้ว่าท่านพ่อท่านแม่จะเดินทางไปบ้านท่านตาก็ขนของออกไปให้ไม่น้อย
“ข้าจะเอาไปหมดหรือไม่” หู่เหมยมองข้าวสารสองกระสอบ ผักดองอีกเกือบสิบไหที่หรันเยี่ยนางนำออกมา นี่ยังไม่รวมเนื้อสัตว์ที่นางเตรียมไว้อีกไม่น้อย ผักสดที่ครอบครัวนางปลูกไว้ก็ต้องขนไปด้วยอีก
“ข้าเตรียมผักดองไว้ให้พวกท่านไปแบ่งชาวบ้านเรือนละสองไหด้วยเจ้าค่ะ” จ้าวซ่งและหู่เหมยพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ทั้งสี่คนจึงได้ถือไหไปคนละไหสองไห ไปแจกชาวบ้านที่เคยช่วยเหลือ จ้าวซ่งยังต้องไปเช่าเกวียนวัวเพื่อจะไปบ้านพ่อตาของตนอีกด้วย
ข้าวของที่มากมายทำให้สามพี่น้องมิอาจติดตามบิดามารดาไปด้วยได้ จึงต้องรออยู่ที่เรือน
“พ่อไปเพียงวันเดียวก็กลับ เยี่ยเออร์ เจ้าดูแลน้องด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่ออกเดินทางเถิด ไม่ต้องห่วงพวกข้า”
หรันเยี่ยมองส่งบิดามารดานั่งเกวียนวัวออกไป นางพาฝาแฝดกลับเข้ามาในเรือน
“เจ้ารอพี่สักประเดี๋ยว พี่จะเข้าไปเพียงครู่เดี๋ยวแล้วจะออกมาอยู่กับพวกเจ้า”
“ได้ขอรับ พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง พวกข้าอยู่กันได้” ลู่หรงไม่อยากให้พี่สาวเป็นกังวล
“เข้าใจแล้ว”
หรันเยี่ยเข้ามาด้านใน เพื่อมาบอกเสี่ยวไป๋ว่าวันนี้นางอาจจะไม่ได้เข้ามาอีก
“เสี่ยวไป๋ วันนี้ข้าคงไม่เข้ามาแล้ว ต้องอยู่เป็นเพื่อนน้องชาย คืนนี้เจ้านอนผู้เดียวไปก่อนเล่า” นางรีบไปหว่านเมล็ดข้าวสาลีทิ้งไว้อีกหนึ่งรอบ
“เพราะอันใด” มันร้องถามออกมา อย่างไม่เข้าใจ แม้จะรู้ว่าบิดามารดาของหรันเยี่ยเดินทางไปบ้านท่านตาท่านยาย แต่ก็น่าจะปลีกตัวมาจัดการของในมิติได้
“ข้าจะทิ้งเด็กสองคนไว้ได้อย่างไรเล่า”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว บิดามารดาเจ้าจะค้างที่เรือนท่านตาท่านยายรึ”
“ไม่ แต่ไม่รู้ว่าจะกลับมาถึงเรือนยามใด”
“เช่นนั้นเจ้าก็เข้ามานอนในมิติได้”
“อืม ถ้ากลับมาก่อนข้าจะหลับ ข้าจะเข้ามาด้านในก็แล้วกัน”
หรันเยี่ยหว่านเมล็ดเสร็จนางก็ออกไปทันที ทิ้งให้เสี่ยวไปมองนางไปตาละห้อย “เหอะ ไม่เข้ามาก็ไม่ต้องเข้ามา” มันเดินส่ายตูดกลับเข้าบ้านไปทันทีอย่างน้อยใจ
พอนางออกมาด้านนอก ก็เข้ามาอยู่กับน้องชายทั้งสอง ทั้งสามคนต่างนั่งเล่นนั่งพูดคุยกันอยู่ที่แคร่ไม้ใต้ต้นไม้หลังเรือน
“พวกเจ้าอ่านหนังสือออกหรือไม่” หรันเยี่ยเอ่ยถามอย่างสนใจ
“ไม่ขอรับ/ไม่ขอรับ”
“อยากเรียนหรือไม่” หรันเยี่ยนางไม่มีความรู้เรื่องภาษาโบราณเลยสักนิด นางจึงสอนน้องชายทั้งสองคนของนางไม่ได้
“อยากขอรับ” ลู่เฉิงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น แต่ลู่หรงกับเม้มปากแน่น
ตัวเขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะได้เล่าเรียนเช่นเดียวกับท่านอารอง ด้วยเงินที่จำกัดในเมื่อก่อน และท่านย่าก็คงไม่ยอมให้พวกเขาได้เล่าเรียน
“เช่นนั้นพี่จะส่งพวกเจ้าให้ได้เรียน ดีหรือไม่” นางลูบหัวลู่เฉิงอย่างเอ็นดู
“แต่ว่า หากพวกข้าไปเรียนแล้วผู้ใดจะช่วยงานท่านกับท่านแม่” ลู่หรงเอ่ยถามออกมาอย่างกังวลใจ
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจัดการได้ เจ้าอยากเรียนสนใจเพียงเรื่องเรียนก็พอ”
น้องชายของนางสองคนโตพอที่จะเข้าสำนักศึกษาได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าทางสำนักศึกษาจะรับพวกเขาหรือไม่ เพราะพวกเขายังไม่รู้ตัวอักษรสักตัว
“แล้วทางสำนักศึกษาจะยอมให้พวกข้าเรียนรึ” ลู่หรงเอ่ยถามออกมา
“อืม เช่นนั้น ก็ต้องหาคนมีความรู้ว่าสอนพวกเจ้าเสียก่อน”
“ข้ารู้ เรื่องนี้ข้ารู้” ลู่เฉิงร้องออกมาเสียงดัง
“ผู้ใด”
“พี่หลาง หลานชายปู่หมาน เขาเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา”
“อืม แล้วจะมาสอนให้พวกเจ้าได้หรือไม่ ข้าจะจ่ายเงินให้เขาเอง” นางคิดจะไปขายของ เพื่อนำเงินมาให้ทั้งสองได้เรียน
“เรื่องนี้คงต้องไปถามเขาก่อนขอรับ” ลู่หรงเม้มปากแน่น เพราะไม่รู้ว่าหมานหลางจะยอมมาสอนพวกเขาหรือไม่
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”
หรันเยี่ยลุกขึ้นยืน แล้วพาน้องชายทั้งสองเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปที่เรือนของท่านผู้นำหมู่บ้านที่อยู่ห่างไปถึงสองลี้ (1ลี้=500เมตร) หรันเยี่ยนางเพิ่งจะได้เดินเข้ามาในหมู่บ้านครั้งแรก ถึงได้รู้ว่าหมู่บ้านที่นางอยู่มีขนาดใหญ่ไม่น้อย จำนวนเรือนที่เดินผ่านมาต้องมีมากกว่าหกสิบหลังเป็นแน่
แต่ละเรือนก็มีพื้นที่หลายหมู่ ชาวบ้านมักจะปลูกผักเลี้ยงสัตว์อยู่ที่เรือนของตนกันด้วย
เพียงสองเค่อ (1เค่อ=15นาที) ทั้งสามก็มาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนของผู้นำหมู่บ้าน เป็นลู่เฉิงที่ร้องเรียกพวกเขาเสียงดังอยู่ที่หน้าเรือน
“ท่านปู่หมาน ท่านย่าหมาน อยู่หรือไม่ขอรับ”
ไม่นานก็มีหญิงวัยชราเดินมาเปิดประตูเรือน นางมองมาที่เด็กทั้งสามอย่างแปลกใจ “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือไม่” นางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ขอรับ ท่านย่าหมานพวกข้าอยากจะมาพบพี่หลาง อยู่หรือไม่ขอรับ” ลู่หรงเอ่ยตอบนาง
“อาหลางรึ อยู่ ๆ พวกเจ้าเข้ามาก่อน” นางร้องเรียกหลานชายให้ออกมาพบเด็กทั้งสามคน
เด็กหนุ่มวัยเดียวกับหรันเยี่ยเดินออกมาจากเรือน มองมาทางพวกเขาอย่างแปลกใจ
“พวกเจ้ามาหาข้าเช่นนั้นรึ”
“ใช่แล้ว ข้ารู้มาจากน้องชายว่าท่านเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา หากมีเวลาว่างอยากรบกวนให้ท่านช่วยสอนตำราพวกเขาได้หรือไม่”
หมานหลางมองหรันเยี่ยอย่างแปลกใจ เมื่อก่อนนางเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยพูด ทั้งยังไม่ค่อยสบตากับผู้ใด มาตอนนี้นางพูดจาฉะฉานจนเขาอดที่จะมองอย่างพิจารณาไม่ได้
“มีอันใดรึ” หรันเยี่ยเลิกคิ้วขึ้นถาม เมื่อเห็นเขาเอาแต่มองใบหน้าของนางไม่ยอมเอ่ยตอบเสียที
“เจ้าจะให้ข้าสอนอันใด” ถึงเขาจะเล่าเรียนมาได้สองสามปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจจนสอนผู้อื่นได้
“เพียงแค่ให้พวกเขารู้จักตัวอักษร อ่านได้ก็พอ ข้าจะให้พวกเขาไปเรียนที่สำนักศึกษา แต่หากไม่มีพื้นฐานเลยก็กลัวว่าอาจารย์ที่สอนจะไม่รับ”
หมานหลางเบิกตากว้างอย่างตกใจ คำพูดที่ราวกับเป็นผู้ใหญ่เข้าใจเรื่องราวดีของนาง ยิ่งทำให้เขาแปลกใจมากกว่าเดิม
“ข้าไม่ได้ให้เจ้าสอนพวกเขาโดยเปล่าประโยชน์ ข้าจะจ่ายเงินค่าจ้างให้เจ้าด้วย”