จ้าวซ่งรับถุงจากมือของหรันเยี่ยไปเปิดออกดู ก็พบว่าด้านในมีเงินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“เจ้าเอาเงินมาจากที่ใด” เขาเอ่ยถามบุตรสาวเสียงสั่น เงินมากเพียงนี้จ้าวซ่งก็เพียงจะเคยจับเป็นครั้งแรก ก่อนจะส่งต่อให้นางหู่เหมยได้ชื่นชมด้วยอีกคน
“ข้าทำภารกิจสำเร็จ ได้ของรางวัลเป็นเงินมาเจ้าค่ะ” นางยิ้มบอกอย่างมีความสุข
“เช่นนั้นเจ้าก็เก็บไว้เถิด” นางหู่เหมยรู้ดีว่าหรันเยี่ยลำบากไม่น้อย ที่นางต้องวิ่งเข้าออกมิติวันละหลายรอบ เช่นนี้จะกล้ารับเงินของบุตรสาวได้อย่างไร
“ข้าให้พวกท่านเจ้าค่ะ รับไปเถิดท่านแม่ ต่อไปข้าจะหาเงินให้พวกท่านมากกว่านี้ รับรองพวกท่านจะต้องนอนบนกองเงินกองทองอย่างแน่นอน” หรันเยี่ยหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
เสียงหัวเราะของนางทำให้ทุกคนอดที่จะหัวเราะอย่างเอ็นดูตามไปด้วยไม่ได้ ฝาแฝดต่างก็เข้ามาล้อมตัวมารดาไว้ เพื่อดูเงินนับร้อยตำลึงที่พี่สาวเขาหามาได้
หรันเยี่ยพูดคุยกับพวกเขาต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะกลับเข้าไปในมิติ เพื่อฟังเสี่ยวไป๋แจ้งเรื่องภารกิจในด่านต่อไป
“ข้ามาแล้ว เจ้าบอกเงื่อนไขด่านต่อไปได้เลย” หรันเยี่ยเพิ่งจะยินดีเรื่องที่ได้เงินรางวัลมา นางจึงเอ่ยเสียงใสพูดกับเสี่ยวไป๋อย่างมีความสุข
“ด่านที่ห้า...” มันถอนหายใจออกมา เพราะไม่อยากจะทำลายความสุขของหรันเยี่ยเลยจริงๆ
“พูดเลย” นางเร่งให้เสี่ยวไป๋บอกนาง
“เจ้าต้องปลูกข้าวสามีให้ได้สามโรง เพื่อจะนำมาเลี้ยงวัวนม”
“ห๊า...” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ จะเลี้ยงวัวทั้งที จะต้องปลูกข้าวสาลีก่อนมากถึงเพียงนี้เลยรึ
“เจ้ารีบไปขุดแปลงเพิ่มอีกห้าแปลงเร็วเข้า” เขาใจดียอมให้นางขุดแปลงเพิ่มได้อีกห้าแปลง คงจะพอชดเชยความรู้สึกของนางได้บ้าง
“ข้าเหนื่อยแล้ว” นางทิ้งตัวลงนั่งอย่างเศร้าใจ นางเพิ่งจะยินดีได้ไม่นาน ต้องกลับมาทำงานหนักอีกแล้ว
“หากผ่านด่านนี้ ครอบครัวของเจ้าจะเข้าออกมิได้แล้วนะ” มันเอาของรางวัลที่นางต้องการออกมาล่อ
“จริงด้วย” หรันเยี่ยนึกถึงใบหน้าของน้องชายที่รอคอยจะได้เข้ามาในมิติอย่างคาดหวัง นางก็ดีดตัวลุกขึ้นทันที
เสี่ยวไป๋แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดนางก็กลับไปทำงานอย่างว่าง่ายแล้ว
หรันเยี่ยตั้งใจขุดดินอย่างแข็งขัน เพื่อจะได้ปลูกข้าวสาลีได้เร็วๆ แต่แล้วเมื่อนางขุดไปได้สองแปลง มือของนางก็ชะงักค้างอยู่กับที่
“เสี่ยวไป๋ เจ้าบอกข้าไม่หมดหรือเปล่า หากเพียงแค่ปลูกข้าวสาลีเพื่อเป็นอาหารวัว มันคงไม่ใช่จะผ่านด่านที่ห้าไปได้ง่ายๆ กระมัง” นางเดินทิ้งจอบในมือ แล้วเดินเข้ามาเสี่ยวไป๋อย่างคาดคั้น
“เอ่อ...เจ้าก็รู้ว่าต้องเลี้ยงวัวเพื่อผลิตนม” มันเอ่ยตอบนางเสียงเบา
“ต้องผลิตเท่าใดถึงจะผ่านด่าน” นางเดินเข้าไปจนติดตัวของเสี่ยวไป๋
“ห้าพันขวด”
หรันเยี่ยเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วกรีดร้องออกมาราวกับเสียสติ นางคิดไว้อยู่แล้วว่าไม่มีเรื่องง่ายถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน
“อ๊ากกก ทำไมมันยากเช่นนี้ กว่าจะถึงด่านที่ห้าสิบข้าไม่ตายเสียก่อนรึ” นางร้องออกมาอย่างหงุดหงิด
“เจ้าไม่ตายหรอก มีข้าอยู่ น้ำลายของข้าวิเศษเจ้าก็รู้”
“ไม่ต้องเลย” นางเดินกลับไปหยิบจอบขึ้นขุดอีกครั้ง
พอนางขุดทั้งห้าแปลงเสร็จ ข้าวและผักที่ปลูกไว้ก็พร้อมให้เก็บเกี่ยว หรันเยี่ยจึงปลูกข้าวสาลีทั้งหมดสิบแปดแปลงเลย
ตอนนี้นางมานั่งพักอยู่ข้าวเสี่ยวไป๋ นั่งมองทุ่งกว้างที่เคยโล่ง เต็มไปด้วยทุ่งข้าวสาลีอย่างสบายใจ
“ไม่คิดว่าข้าจะลงมือปลูกด้วยตนเอง” นางมองภาพตรงหน้าอย่างหลากหลายความคิด
เมื่อก่อนเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วมือ ของทั้งหมดก็ถูกจัดการโดยง่าย พอมาลงมือทำเข้าจริงๆ มิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ทั้งยังใช้เวลาทำไม่น้อยเช่นในเกมที่เคยเล่นเลย
“ภูมิใจใช่ไหมล่ะ ด่านต่อไปสนุกกว่านี้อีกนะ”
“เหอะ ผู้ใดจะเชื่อเจ้า” นางปรายตามองมันอย่างมันเขี้ยว
ข้าวสาลีก็เหมือนกับข้าวที่นางเคยปลูกก่อนหน้านี้ เพียงหนึ่งชั่วยามข้าวสาลีก็พร้อมให้เก็บเกี่ยวแล้ว
หรันเยี่ยปลูกอีกเพียงแค่สองรอบ นางไปกดเครื่องแปรรูปข้าวสารและผักดองก่อนที่จะหยุดพักกลับเข้าไปนอน
วันนี้นางเหนื่อยล้าไม่นอนพอหัวถึงหมอนยังไม่ได้เอ่ยพูดคุยกับเสี่ยวไป๋นางก็หลับเสียแล้ว
เสี่ยวไป๋ยังต้องมาคอยคาบผ้าห่มให้นางอย่างเอาใจ ยามที่หรันเยี่ยนางหลับไม่ได้สติ เสี่ยวไป๋จะคอยเลียฝ่ามือและฝ่าเท้าของนาง เพื่อรักษาบาดแผลที่เกิดจากการทำงานหนัก
เรื่องนี้หรันเยี่ยนางไม่รู้ หากนางรู้คงไม่ยอมให้เสี่ยวไป๋ทำอย่างแน่นอน นับวันผิวพรรณของนางก็ดูดีกว่าตอนที่นางมาถึงภพนี้มากนัก คงเป็นเพราะน้ำลายของเสี่ยวไป๋ด้วย
หรันเยี่ยนางคิดมาตลอดว่า ยามที่นางหลับแผลของนางก็หายไปได้เอง เพราะเกิดจากความวิเศษของอากาศภายในมิติ
เสี่ยวไป๋ ออกจากห้องไปเก็บข้าวสาลีให้นางก่อนจะกลับเข้ามานอนพัก พอหรันเยี่ยนางตื่นก็สามารถปลูกรอบใหม่ได้เลยในทันที
ตอนนี้หรันเยี่ยนางแทบจะกินนอนอยู่ในมิติ โดยบอกครอบครัวของตนเองว่านางต้องการจะผ่านด่านที่ห้าให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้พาพวกเขาเข้ามาในมิติของนาง ทุกคนจึงเข้าใจนาง และไม่ได้กวนนางแต่อย่างใด
ผ่านมาห้าวันแล้ว โรงเก็บข้าวสาลีของหรันเยี่ยก็เต็มตามจำนวนที่เสี่ยวไป๋ตั้งไว้เสียที คอกวัวปรากฏขึ้นในมิติของนาง พร้อมกับวัวที่อยู่ด้านในอีกห้าตัว
“เจ้าจะซื้อเพิ่มหรือไม่” เสี่ยวไป๋หันมาถามหรันเยี่ย เมื่อนางเอาแต่มองวัวทั้งห้ากินต้อนข้าวสาลีอยู่ ยังดีที่พวกมันกินเพียงแค่ต้นข้าว ข้าวสาลีนางยังสามีนำไปแปรรูปเป็นแป้งไว้ทำขนมปังได้
“ราคาเท่าใด” นางถามขึ้นโดยที่ไม่ได้หันมามองเสี่ยวไป๋
“ตัวละสิบตำลึงเงิน”
ขาของหรันเยี่ยแทบจะทรุดไปกองกับพื้น เมื่อได้ยินราคาของวัวที่เสี่ยวไป๋บอก และคอกก็บรรจุได้เพียงแค่สิบตัวเท่านั้น
“ข้าไปดูก่อนว่าขายสิ่งใดได้บ้าง” นางเดินไปที่โรงเก็บของอย่างไร้สติ
ข้าวที่มีเพียงแต่ห้ากระสอบหากขายไปหมดเลย นางก็ไม่มีออกไปให้ท่านแม่ของนางนำไปที่เรือนของท่านตา พอดูไหผักดองก็ต้องถอนหายใจ นางมัวแต่เอาเวลาทั้งหมดไปปลูกข้าวสาลีกับเก็บไข่ไก่ จึงไม่ค่อยได้ผลิตออกมามากนัก
ใช่แล้ว นางยังมีไข่ไก่อีกนับหมื่นฟอง “ขายไข่ได้หรือไม่” นางร้องถามเสี่ยวไป๋อย่างมีความหวัง
“ได้ ไข่ไก่ใบละสองร้อยอิแปะ เจ้าจะขายเท่าใด” พอมันเห็นแววตาที่เปล่งประกายของหรันเยี่ยก็รีบเอ่ยดักคอนางไว้เสียก่อน
(หนึ่งพันอิแปะ=หนึ่งตำลึงเงิน สิบตำลึงเงิน=หนึ่งตำลึงทอง)
"แต่เจ้าอย่าลืมเล่า ว่าด่านต่อไปเจ้าต้องใช้ไข่อีกไม่น้อยเลย”
“เช่นนั้นก็ขายหนึ่งพันฟอง” นางจะขายได้สองร้อยตำลึงเงิน ซื้อวัวห้าตัวก็ยังเหลือเงินไว้ใช้ภายหน้าได้
“ได้” เสี่ยวไป๋จัดการเปลี่ยนไข่เป็นเงิน และเปลี่ยนเงินไปซื้อวัวห้าตัวให้หรันเยี่ย
ยังดีที่พออาหารในรางหมดลง ก็จะปรากฏอาหารชุดใหม่เข้ามาทันที นางจึงมีหน้าที่ปลูก และปลูกต่อไป ตอนนี้นอกจากจะปลูกข้าวโพดสลับกับข้าวสาลีแล้วนางก็ไม่ได้ปลูกอันใดเพิ่มเลย