“…หนูทำค่ะ หนู…จะทำค่ะ” สิ้นเสียงหวานของร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าเอ่ย ธัญญาก็แสดงสีหน้าเรียบนิ่งแต่มีแววตาพึงพอใจกับคำตอบที่ได้ยินฉายออกมา
“ไปคุยในห้องทำงานฉัน” พูดจบ หญิงวัยกลางคนตระกูลใหญ่ก็สาวเท้าเดินนำลูกหว้าเข้าไปภายในห้องทำงานสุดหรูของตัวเอง โดยทันทีที่อยู่กันเพียงลำพัง
“นั่งสิ” ธัญญาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานราคาแพงบอกกับลูกหว้า สองเท้าเล็กจึงเดินเข้าไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผู้มีพระคุณด้วยท่าทีนอบน้อมอยู่ตลอด
“นี่สัญญาที่ฉันจัดการเตรียมเอาไว้ อ่านให้เข้าใจ แล้วก็เซ็นยินยอม” ธัญญาที่พอจะคาดเดาคำตอบจากร่างเล็กที่ดูไร้หนทางตรงหน้าเอ่ยพลางยื่นเอกสารที่เตรียมไว้ให้กับหญิงสาว โดยลูกหว้าก็รับเข้ามาอ่านข้อกำหนดต่าง ๆ ด้วยความตั้งใจ ซึ่งก็จะเป็นหน้าที่การยินยอมเป็น ‘ของบำเรอ’ ให้กับอีริคแต่เพียงผู้เดียวที่จะสามารถครอบครองร่างกายของเธอได้จนกว่าเขาจะเป็นคนยกเลิกสัญญา ทุกอย่างดูระบุไว้ชัดเจนถึงหน้าที่หลักที่เธอนั้นเป็นผู้ยินยอมด้วยความสมัครใจ รวมถึงการต้องเก็บรักษาเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ…
ทุกอย่างถูกธัญญาที่คิดครอบคลุมทุกอย่างไว้หมดแล้วอยู่ด้านในเอกสาร
แน่นอนว่าลูกหว้าเองก็พอจะรู้ถึงความระมัดระวังเป็นอย่างมากของหญิงวัยกลางคนผู้มีหน้ามีตาในสังคม
“มีข้อไหนที่สงสัยหรืออะไร สามารถถามฉันได้”
“มะ…ไม่มีค่ะ…” เรียวปากสีหวานตอบกลับผู้มีพระคุณตรงหน้าพลางตัดสินใจหยิบปากกาที่วางอยู่เข้ามาเซ็นสัญญานั้นด้วยความพร้อมยินยอมรับข้อเสนอด้านในเอกสารทุกอย่าง ธัญญาที่เห็นแบบนั้นก็มองดูท่าทีของลูกหว้าอย่างรู้สึกพอใจกับความว่าง่ายของอีกคน แต่ก็ไม่วาย
“อ่านข้อเสนอดีแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ”
“เห็นใช่ไหมว่าข้อเสนอบอกเอาไว้ว่า เธอจะต้องนอนกับอีริคได้แค่กับอีริคเท่านั้น จนกว่าเขาจะเป็นคนฉีกสัญญา”
“ค่ะ หนูเห็นแล้วค่ะ”
“ดี เรื่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงความลับของสัญญาฉบับนี้และหน้าที่ของเธอ ห้ามบอกใครหรือให้ใครรู้อย่างเด็ดขาด เพราะนั่นมันหมายถึง…ชีวิตของเธอกับยายเธอ เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม” ธัญญามองหน้าถามร่างเล็กที่ยืนอยู่ ลูกหว้าที่ได้ยินก็ชะงักมีความรู้สึกเกรงขามคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อย เหมือนเธอกำลังถูกขู่นัย ๆ ให้รู้ ทว่าลูกหว้าเองก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องพวกนี้ไปพูดคุยกับใครอยู่แล้ว
“ค่ะ หนูเข้าใจแล้วค่ะ” เสียงหวานตอบกลับ ทำให้ธัญญาที่เชื่อว่ายังไงอีกคนก็ไม่มีทางกล้าตุกติกอะไรจ้องมองยังใบหน้าเรียวใสนัยน์ตาดูใสซื่อเกรงขามนั้น
“ว่าแต่…เธอเคยนอนกับใครมาก่อนหรือเปล่า”
“ค…คะ? …”
“เคยมีอะไรกับใครมาก่อนไหม”
“เอ่อ…ไม่เคยค่ะ” ดวงตากลมโตเผลอเงยหน้าขึ้นตอบกลับหญิงวัยกลางคนทรงอิทธิพล แน่นอนว่าธัญญาที่ได้ยินคำตอบก็ยิ่งแสดงถึงความพอใจออกมา กับ ‘ของบำเรอ’ ที่เธอเป็นคนเลือกให้ไปคอยดูแลและคอยรองรับอารมณ์ต่าง ๆ ของลูกชายตัวเอง
เธอเองก็พอเดาได้ไม่ยากจากลักษณะต่าง ๆ ของลูกหว้าที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์โดยไร้ซึ่งความพยายามใด ๆ
“รู้ไหม ทำไมฉันถึงเลือกเธอ” ธัญญามองหน้าถามลูกหว้าขึ้น คนตัวเล็กที่ได้ยินจึงส่ายหน้าตอบกลับช้า ๆ ทำให้หญิงวัยกลางคนจ้องมองยังใบหน้าเรียวใสนั้น
“เพราะฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนว่าง่าย และฉลาด…”
“…ฉันเชื่อว่าสัญชาตญาณการอยู่เพื่อเอาตัวรอดของเธอจะไม่สร้างปัญหามาให้ฉันทีหลัง” คำพูดที่ฟังดูเหมือนจะไม่อะไร ทว่ามีความข่มขู่เป็นนัย ๆ ฉายเข้ามาในความรู้สึกของลูกหว้าอีกครั้ง แต่คนตัวเล็กที่ก็เชื่อไม่ต่างว่าตัวเองคงจะไม่ทำอะไรเกินเลยนอกเหนือจากข้อตกลง
“ค่ะ หนูจะเชื่อฟังคุณท่านกับคุณชายทุกอย่าง” ร่างเล็กบอกด้วยความพร้อมยินยอมทำตามที่ผู้มีพระคุณต้องการ นั่นยิ่งทำให้ธัญญารู้สึกพึงพอใจกับท่าที
“ดีแล้วที่เธอเข้าใจอะไรง่ายแบบนี้…”
“…” ลูกหว้าก็เงียบไม่ตอบกลับอะไรพลางทำท่าจะค่อย ๆ ยื่นสัญญาคืนกลับไปให้หญิงวัยกลางคน แต่ธัญญากลับปัดออกเบา ๆ
“ไม่ต้องเอามาให้ฉัน”
“คะ?”
“สัญญานั้น เอาไปให้อีริคในคืนวันศุกร์ ฉันให้เวลาเธอเตรียมตัวสามวัน จากนั้นก็ไปเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองซะ…” ธัญญาบอกพลางค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ของตัวเอง
“…แต่ถ้าเธอทำได้ไม่ดี สัญญาของเราก็จะถือว่าเป็นการโมฆะกันไป” พูดจบ หญิงวัยกลางคนก็สาวเท้าเดินออกจากห้องทำงานสุดหรูไปด้วยใบหน้าราบเรียบไร้ซึ่งการมีเมตตาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คนที่เกิดมาในตระกูลใหญ่โต และทรงอำนาจอย่างเธอ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชื่อเสียงการวางตัว ดังนั้นการปูทางให้ลูกชายตัวเองมีแต่เรื่องขาวสะอาด ไร้ชื่อเสียงเสื่อมเสียเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด เธอจึงตัดสินใจเลือกลูกหว้าเข้ามาเพื่อเป็น ‘คนคอยบำเรอเรื่องพวกนั้น’ ให้กับลูกชายตัวเอง
เธอไม่ได้ทำเพื่ออีริค แต่…ทำเพื่อไม่ให้ทายาทเพียงคนเดียวต้องมีเรื่องเสื่อมเสียมาถึงหน้าที่การงานและหน้าตาของเธอ
นั่นต่างหากคือเหตุผลที่ธัญญาเลือกทำ
เพราะหากให้อีริคไปทำเรื่องนั้นกับใครไม่รู้แล้วอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา…มันจะมีผลเสียตามมาได้
ขณะที่ลูกหว้าที่ได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของธัญญาก็มีความรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อยกับหน้าที่ที่ต้องทำในอีกสามวันข้างหน้าของตัวเอง
หน้าที่ที่จะตัดสินชีวิตของเธอ…ต่อจากนี้
สามวันต่อมา…
ร่างหนาเจ้าของความสูงกว่าร้อยเก้าสิบเซนติเมตรกำลังยืนเคียงคู่อยู่กับพ่อของตัวเองภายในงานรับตำแหน่งของนักการเมืองชื่อดัง โดยมีผู้คนมากมายนั้นพยายามเข้ามาทำความรู้จักทักทายกับแมธธิวอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่านักธุรกิจใหญ่ก็ยิ้มบาง ๆ ทักทายทุกคนกลับพอเป็นพิธี เขาจะพูดคุยด้วยก็แต่กับคนที่มีฐานะพอเทียมเท่ากันเท่านั้น ไม่ก็คนที่จะมีประโยชน์ต่อกัน
“สวัสดีครับ คุณแมธธิว” เสียงชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายขึ้น ทำให้แมธธิวหันมอง และเมื่อเห็นว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด
“สวัสดีครับ”
“ได้เจอกันสักทีนะครับ ผมอยากเจอคุณแมธธิวมานานแล้ว”
“ผมก็เช่นกันครับ” แล้วทั้งสองก็ต่างแสดงความเป็นมิตรพูดคุยกันอย่างรู้ว่าจะได้มีประโยชน์ต่อกันในภายภาคหน้า ก่อนที่อภิรักษ์จะหันมองร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่ยืนอยู่ด้านข้างชายวัยกลางคน
“แล้วนี่…”
“อีริคครับ ลูกชายคนเดียวของผม” สิ้นเสียงแมธธิวแนะนำ
“สวัสดีครับ” อีริคก็มองหน้าพูดกับคนที่ยืนอยู่ อภิรักษ์ที่ได้ยินแบบนั้นจึงยกยิ้มทักทายตอบกลับ
“สวัสดีครับ หน้าตาหล่ออย่างกับดาราเลยนะครับ” นายกทรงอิทธิพลเอ่ย โดยเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่ได้ยินก็เงียบไม่ตอบกลับอะไรเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยรับคำชมไปเท่านั้น
“ใกล้ถึงเวลาที่ผมต้องขึ้นไปกล่าวอวยพรแล้ว เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ” อภิรักษ์บอกพลางขอตัวเดินออกไป ซึ่งทันทีที่นายกคนดังเดินออกไป
“แกควรที่จะตอบรับคำชมให้มากกว่านี้” เสียงทุ้มเรียบเข้มของแมธธิวไม่รอช้าที่จะกดต่ำบอกลูกชายเชิงติเตียน คนตัวสูงที่ได้ยินก็นิ่ง
“ครับ” เขารับคำไปด้วยใบหน้าราบเรียบ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกคนเป็นพ่อให้มาร่วมงานเพื่อสร้างคอนเน็กชันอิทธิพลของตัวเองให้กว้างขวางมากขึ้น อีริคถูกบังคับให้มาออกงานสังคมแบบนี้อยู่เป็นประจำตั้งแต่เด็ก ไม่ไปกับพ่อก็ต้องไปกับแม่
มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด…
กระทั่งช่วงใกล้จบงาน
“แกจะไปไหน” เสียงแมธธิวถามลูกชายตัวเองขึ้นหลังจากอีกคนลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งเมื่อช่วงสำคัญเสร็จสิ้น คนตัวสูงที่ได้ยินแบบนั้นจึงหันมองตอบกลับคนเป็นพ่อ
“ผมมีธุระต้องไปทำต่อ”
“แต่…”
“ผมบอกพ่อไว้แล้วว่าอยู่ได้แค่นี้” พูดจบ ร่างสูงของอีริคก็สาวเท้าเดินออกจากงานไปด้วยใบหน้าราบเรียบนัยน์ตาคมสีเทาเข้มฉายให้เห็นถึงความเรียบนิ่งที่มี ซึ่งแมธธิวก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาปรายตามองตามแผ่นหลังกว้างของลูกชายเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปสนใจงานที่อยู่ตรงหน้าต่ออย่างพอใจแล้วที่อย่างน้อยอีริคก็ได้พบเจอกับคนที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจต่าง ๆ ของเขา
ด้านอีริค
“เชิญครับคุณชาย” เสียง เกริกพล คนที่คอยดูแลคุณชายของตระกูลใหญ่เอ่ยพลางเปิดประตูรถหรูด้านหลังให้อีริคเข้าไปนั่ง คุณชายหน้านิ่งที่เคยชินก็เดินเข้าไปนั่งลงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกเหมือนทุกครั้ง ก่อนที่เกริกพลจะเดินกลับเข้าไปนั่งยังด้านข้างคนขับรถด้านหน้าพลางสอบถาม
“กลับเพนต์เฮาส์เลยไหมครับ”
“อืม” ริมฝีปากหนาขานตอบกลับด้วยใบหน้าราบเรียบ พร้อมกับรถคันหรูที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามทางที่ไปเพนต์เฮาส์ราคาแพงใจกลางเมืองที่อีริคเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ได้ไม่นาน โดยทันทีที่เดินทางถึงบริเวณลานจอดด้านหน้าล็อบบีขนาดใหญ่ พนักงานที่ยืนคอยทำหน้าที่อยู่ก็รีบสาวเท้าเข้ามาจัดการเปิดประตูให้กับคุณชายตระกูลทรงอิทธิพล อีริคเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาค่อย ๆ เดินลงจากรถสาวเท้าตรงไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังเพนต์เฮาส์ของตัวเอง
โดยทันทีที่เดินเข้าไปถึงประตูลิฟต์หรูก็ถูกเปิดออกทำให้สองเท้าหนักเดินตรงเข้าไปพร้อมกับประตูลิฟต์ที่ปิดลงด้วยความรวดเร็ว
“ดะ…เดี๋ยวครับคุณชาย…” อย่างที่เกริกพลยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยบอกอะไรกับคุณชายหน้านิ่ง ด้านอีริคเองใช้เวลาไม่นาน ก็เดินตรงไปยังประตูเพนต์เฮาส์ความปลอดภัยสูงของตัวเองพลางเปิดประตูเดินเข้าไปด้วยสีหน้าราบเรียบ ทว่าขณะที่สองเท้าหนักกำลังเดินเข้าไปถึงบริเวณห้องรับแขกหรูที่อยู่ตรงกลางห้อง ดวงตาคมกริบของคุณชายตัวสูงก็ต้องชะงักไปกับภาพที่เห็นตรงหน้า ภาพของร่างเล็กที่กำลังลุกขึ้นจากโซฟาราคาแพงค่อย ๆ หันมามองการมาของเขาด้วยท่าทีดูมีความประหม่าฉายออกมาให้เห็นชัดเจน
“สวัสดีค่ะ…คะ…คุณชาย…” เรียวปากสีหวานขยับเอ่ยและมือบางที่กดบีบเข้าหากันเล็กน้อย
อีริคก็ยืนมองร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้านิ่ง ก่อนที่เสียงทุ้มเข้มจะกดต่ำถาม
“เข้ามาได้ยังไง ใครอนุญาตให้เธอเข้ามา”