ครอบครัวใหม่ ?
“ตามกำหนดคือเสร็จตั้งแต่หกโมงเย็นแล้วครับ แต่มีหลายเรื่องไม่คุยกันไม่ลงตัวก็เลยลากยาวมาจนถึงตอนนี้ ผมเพิ่งจะได้แวบออกพักทานข้าวนี่แหละครับ” คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวบอกเล่าอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะอธิบายต่อเพื่อให้หญิงสาวเข้าใจมากขึ้น “เหตุผลที่ไม่สามารถยกประเด็นที่เหลือไปประชุมต่อพรุ่งนี้ได้ ก็เพราะวันนี้มีผู้บริหารจากบริษัทพาร์ตเนอร์มาร่วมประชุมด้วย แล้วทางฝั่งนั้นอยากได้ข้อสรุปทุกประเด็นภายในวันนี้ โพรเจ็กต์ด่วนน่ะครับ สถานการณ์ในห้องก็เลยค่อนข้างซีเรียสมากเลยครับ”
“อ๋อ...” สุพรรณวดีพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถามต่อด้วยความสงสัยและเป็นห่วงเด็กนักเรียนตัวน้อย “คุณเลิกงานดึกขนาดนี้ น้องโอ๊ตไม่ง่วงนอนแย่เลยเหรอคะ ไหนพรุ่งนี้จะต้องไปโรงเรียนแต่เช้าอีก”
“จริง ๆ ผมจ้างแม่บ้านที่เป็นพี่เลี้ยงด้วยดูแลเจ้าโอ๊ตให้ คนที่คุณเอยเห็นตอนไปสอนที่บ้านนั่นแหละครับ” ชายหนุ่มเล่าไปและหั่นไก่ทอดส่งเข้าปากตัวเองไปด้วย และไม่ลืมหันไปสังเกตดูลูกชายที่กำลังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย “ปกติถ้าผมติดงานหรือรู้ว่าจะต้องกลับบ้านดึก ผมก็จะโทร. ให้แม่บ้านมารับลูกกลับบ้านไปก่อน แต่พอดีช่วงนี้เขาลากลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดครับ แล้วผมก็ดันมีประชุมด่วนและสำคัญแทรกเข้ามาพอดี มันก็เลยเป็นอย่างที่คุณเห็นนี่แหละครับ ผมก็เลี่ยงไม่ได้”
ได้ฟังเช่นนี้แววตาของสุพรรณวดีก็หม่นแสงลงเล็กน้อย ไพล่นึกถึงพ่อลูกคู่หนึ่งที่น่าจะมีสถานการณ์คล้าย ๆ กันนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ยิ่งย้ายไปอยู่ไกลจากถิ่นฐานบ้านเกิด ทำให้เธอไม่รู้เลยว่าสองพ่อลูกนั้นจะอยู่อย่างไร และจะมีคนช่วยเลี้ยงลูกยามที่ต้องทำงานจนดึกดื่นหรือไม่
สุพรรณวดีติดตามชีวิตผู้ชายคนนั้นได้จากข่าวในโทรทัศน์กับนิตยสารที่นาน ๆ ครั้งเขาถึงจะให้สัมภาษณ์ ซึ่งข้อมูลพวกนั้นก็จะเกี่ยวกับการทำธุรกิจเสียส่วนใหญ่ น้อยมากที่เขาจะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว มีพูดถึงลูกแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง เธอจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาจะมีชีวิตอย่างไร
ครั้นรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะจมดิ่งไปกับความคิดวกวน สุพรรณวดีก็รีบดึงสติตนเองให้กลับมาโฟกัสที่การกินกับการพูดคุยกับชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง ด้วยความสงสารเด็กชายที่ต้องนั่งรอพ่อประชุมงานอย่างโดดเดี่ยว ติวเตอร์สาวจึงรับปากว่าจะอยู่เป็นเพื่อนหนุ่มน้อยจนกว่าการประชุมจะเสร็จสิ้น ส่วนเรื่องที่จะให้อภิวัฒน์ไปส่งหรือไม่ หญิงสาวขอพิจารณาอีกที เพราะถ้าไม่ดึกมากและรถไฟฟ้ายังเปิดให้บริการอยู่ เธอก็จะขอกลับเองเพื่อความสบายใจตนเอง
หลังจากอภิวัฒน์ขอตัวกลับเข้าไปประชุมต่อ สุพรรณวดีก็ชวนเด็กชายคุยเล่น ถามไถ่เกี่ยวกับโรงเรียนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มเข้าสู่บทเรียนกันอย่างผ่อนคลายและเป็นกันเอง หากก็มีความจริงจังอยู่ในที
การเรียนการสอนจบลงได้ราวสามสิบนาที แต่ก็ยังไร้วี่แววว่าพ่อของเด็กชายจะลงมาจากตึก เมื่อสิบนาทีที่แล้วอภิวัฒน์ส่งข้อความมาบอกว่ายังประชุมไม่เสร็จ พร้อมขอโทษที่ทำให้เธอต้องกลับบ้านดึก หญิงสาวรีบพิมพ์ตอบกลับไปว่าไม่เป็นไร ไหน ๆ เธอก็ได้รับปากเขาไปแล้วว่าจะดูแลน้องโอ๊ตให้ เธอก็จะทำให้ดีที่สุด
“หิวไหมครับ หรือว่าง่วงมากกว่า” สุพรรณวดีถามหนุ่มน้อยที่ละสายตาจากการ์ตูนในแท็บเล็ตมามองเธอด้วยแววตาปรือ ๆ คล้ายว่าง่วงเต็มที
“โอ๊ตง่วงแล้วครับ” เด็กน้อยส่งเสียงงอแงเล็กน้อยพร้อมยกมือขึ้นมาขยี้ตา
หญิงสาวก้มมองนาฬิกาบนข้อมือตัวเอง ก่อนจะพยักหน้าให้เด็กชายเพื่อบอกให้แกนอนได้เลย เพราะถ้าให้อยู่รอผู้เป็นบิดาก็คงจะอีกนาน ติวเตอร์สาวที่ทำงานเกินเวลาย้ายตัวเองไปนั่งฝั่งเดียวกับน้องโอ๊ต พร้อมกับจัดแจงที่นอน ยอมให้หนุ่มน้อยใช้ตักตัวเองหนุนแทนหมอน โชคดีที่โต๊ะที่เธอนั่งเป็นโซฟาตัวยาว จึงเหยียดแข้งเหยียดขาได้อย่างสบาย ๆ
หลังจากเด็กชายหลับไปแล้ว ระหว่างรอสุพรรณวดีฆ่าเวลาด้วยการเปิดเว็บไซต์สายการบินเพื่อเช็กราคาในช่วงเวลาที่เธอแพลนไว้ว่าจะบินไปเยือนประเทศฝรั่งเศสอีกครั้ง ทว่าราคาที่ปรากฏขึ้นมาก็ยังสูงกว่าราคาที่เธอเคยจองในครั้งก่อน ๆ หญิงสาวจึงตัดสินใจรออีกหน่อยเผื่อวันอื่นจะมีเที่ยวบินที่ราคาถูกกว่านี้
พอราคาตั๋วเครื่องบินไม่ได้ดั่งใจ คุณแม่ที่ต้องพลัดพรากจากลูกมานานแสนนานก็ถอนหายใจ ด้วยงบการเดินทางที่มีจำกัด ทำให้เธอต้องควบคุมค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้ประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้
หญิงสาวก้มมองหนุ่มน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอย่างไรเดียงสาอยู่บนตัก ริมฝีปากเธอแย้มยิ้มบาง ๆ หากในใจรู้สึกเศร้า จมดิ่งลงไปในภวังค์ความคิดของตนเองอีกครั้ง ลูกของเธออายุน้อยกว่าน้องโอ๊ตแค่หนึ่งปี ขนาดตัวก็น่าจะใกล้เคียงกัน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าคนที่นอนหนุนตักเธออยู่ตอนนี้คือลูกชายแท้ ๆ ของเธอเองก็คงจะรู้สึกดีไม่น้อย
คิดถึงจัง ไม่รู้ว่าป่านนี้ลูกของแม่จะทำอะไรอยู่นะ
“คุณเอยครับ คุณเอย”
สุพรรณวดีสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงแรงสะกิดที่หัวไหล่ หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ร้านอาหารฟาสฟู้ดที่ตนนั่งอยู่ก็พบว่าตอนนี้ผู้คนบางตากว่าตอนแรกมาก เหลือนั่งอยู่เพียงแค่ไม่กี่โต๊ะเท่านั้น เธอก้มมองที่ตักก็เห็นว่าเด็กชายยังนอนหลับสบาย จึงเงยหน้าขึ้นไปถามอภิวัฒน์ที่ยืนมองเธออยู่
“กี่โมงแล้วคะ”
“อีกยี่สิบนาทีห้าทุ่มครับ” ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือตัวเองแล้วบอก ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ “ผมต้องขอโทษคุณเอยอีกครั้งนะครับที่ทำให้ต้องลำบาก แต่ถ้าวันนี้ไม่ได้คุณเอย ผมต้องยุ่งมากกว่านี้แน่ ๆ เลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” สุพรรณวดียิ้มรับ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมาก
“แล้วนั่นหลับไปนานหรือยังครับ” เขาชี้ไปยังลูกชายที่หนุนตักครูสาวอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
“หลับไปตอนประมาณสี่ทุ่มนิด ๆ ค่ะ”
“คุณเอยเมื่อยขาแย่เลย”
“นิดหน่อยค่ะ ว่าแต่คุณเสร็จแล้วใช่ไหมคะ” เธอถาม เพราะตอนนี้ก็ถือเป็นเวลาที่ดึกมากพอสมควรสำหรับคนที่ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าอย่างเขาและเธอ
“ครับ วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นกลับกันเลยไหมคะ” หญิงสาวก้มลงไปมองหนุ่มน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปถามความเห็นของอภิวัฒน์ “จะให้ปลุกไหมคะ หรือคุณจะอุ้มไปที่รถเลย”
“ผมว่าอุ้มไปดีกว่าครับ ถ้าตื่นมาตอนนี้เดี๋ยวงอแง” เขาว่าอย่างรู้จักนิสัยลูกชายของตนดี อภิวัฒน์วางกระเป๋าแล็ปท็อปและเสื้อสูทลงบนโต๊ะ ปลดกระดุมแขนเสื้อแล้วถลกขึ้นจนถึงศอก ก่อนจะก้าวเข้าไปช้อนตัวเด็กชายตัวน้อยอุ้มขึ้นพาดบ่าโดยมีสุพรรณวดีคอยประคองร่างเล็กขึ้นช่วยอีกแรง “ขาชาไหมครับ”
“ไม่เท่าไรค่ะ” เธอตอบแล้วยิ้มให้
อภิวัฒน์อุ้มลูกด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างคว้ากระเป๋าแล็ปท็อปมาถือ หากก็ยังเหลืออีกสองชิ้นซึ่งเขาคงถือเองไม่ได้จึงขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวอีกครั้ง ไหน ๆ ก็ต้องไปทางเดียวกัน เพราะเขาตั้งใจจะไปส่งเธอที่บ้านอยู่แล้ว “รบกวนคุณเอยถือสูทกับกระเป๋าเจ้าโอ๊ตให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ” สุพรรณวดีตอบรับอย่างไม่อิดออดทั้งที่ตั้งใจจะขอแยกกลับตอนนี้ แต่เห็นท่าทางทุลักทุเลของเขาแล้วก็ต้องกลืนคำพูดตัวเองไปก่อน ไว้ค่อยบอกเขาว่าจะเธอจะกลับเองตอนไปถึงรถแล้วกัน
หญิงสาวสะพายกระเป๋าตัวเอง ก่อนจะหยิบกระเป๋านักเรียนของเด็กชายขึ้นมาสะพายไหล่อีกข้าง แล้วคว้าสูทของคนตัวสูงมาถือ ใช้สายตามองสำรวจโต๊ะคร่าว ๆ พอเห็นว่าไม่ลืมอะไรแล้ว เธอจึงหันไปพยักหน้าให้คนที่ยืนรออยู่เพื่อบอกว่าตนพร้อมแล้ว
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากร้านไป โดยมีสุพรรณวดีเดินตามออกไปโดยเว้นระยะห่างเล็กน้อย
ทว่า...
อีกด้านของตึกมีร่างสูงของชายคนหนึ่งกำลังยืนมองภาพนั้นด้วยสายตาที่ว่างเปล่า สีหน้าเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ ถึงแม้หญิงสาวจะเว้นระยะห่างในการเดินตามหลังพอสมควร ไม่ได้เดินใกล้ชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างหน้า คนอื่นมองเผิน ๆ อาจจะคิดว่าพวกเขาไม่ได้มาด้วยกัน หากไม่ใช่เจ้าของสายตาคมซึ่งมองเห็นทั้งสามคนตั้งแต่อยู่ในร้านและเห็นทุกการกระทำ
หรือต่อให้ไม่เห็นภาพในร้าน และต่อให้เธอเดินห่างจากผู้ชายคนนั้นเป็นเมตรเขาก็ดูออกว่าทั้งสามคนมาด้วยกัน ทุกอย่างมันชัดเจนเสียขนาดนั้น
ทั้งกระเป๋าเด็กที่เธอสะพายไว้บนบ่า ทั้งเสื้อสูทของผู้ชายคนนั้นที่เธอพาดไว้ที่แขน
...ที่แท้เธอก็มีครอบครัวใหม่ไปแล้วนี่เอง