“บรื๊ออออ~ มันคึกจริง ๆ เลยเว้ย!!”
ไอ้บอมสะบัดหน้ากระพือปากอย่างคึกคัก
ตอนนี้พวกผมออกมาดื่มกันที่ร้านยาดองเฮียก้ง ไม่รู้พวกมันไปคึกมาจากไหนถึงได้นึกอยากดื่มตั้งแต่บ่ายสาม ผมไม่ได้ติดธุระอะไรจึงยอมตามใจพวกมันซักวัน
“นั่นใครวะ”
ผมพยักพเยิดหน้าไปที่แก๊งชายชุดดำที่เดินวางมาดอยู่ถนน
ผมไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อน พวกมันคงไม่ใช่คนในพื้นที่แน่ ๆ
“แก๊งมังกร มาเฟียใหญ่ข้าง ๆ ย่านเรานี่แหละลูกพี่”
ไอ้บอมรีบรายงาน
ผมนั่งจ้องมองดูมันอยู่ซักพัก ก่อนที่ไอ้หัวหน้าของพวกมันจะหันหน้าเข้ามาปะทะดวงตากับผมอยู่ครู่หนึ่ง
มันจึงตรงเข้ามาในร้านเหล้าที่พวกผมนั่งอยู่ ไม่รู้ทำไมแว๊บแรกที่ผมสบตามัน ผมรู้สึกไม่ถูกชะตากับมันเอาเสียเลย ผมรับรู้ได้ถึงพลังงานความชั่วบางอย่างในตัวมันที่แผ่ซ่านออกมาจนปิดไม่มิด
ชายร่างใหญ่พร้อมลูกน้องอีกจำนวนหนึ่งตรงดิ่งเข้ามาหาผมแต่ก็ถูกพวกลูกน้องผมขวางทางเอาไว้เสียก่อน
“เห้ย!! ให้มันเข้ามา”
ผมตะโกนสั่งลูกน้อง มันจึงรีบถอยออกให้พวกนั้นเดินเข้ามาถึงตัวผมได้โดยง่าย
“เคยได้ยินแต่ชื่อเสียง คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีโอกาสได้มาเจอตัวเป็น ๆ ฉันชื่อมังกรนะ”
ชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่แต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำยื่นมือหนามาตรงหน้าผมเพื่อแสดงความเป็นมิตร
พูววว!!
ผมไม่ได้ยื่นมือไม่จับตอบมัน แต่กลับพ่นควันบุหรี่สีขาวใส่หน้ามันอย่างจังจนควันลอยโขมงไปทั่วบริเวณ
แกร๊ก ๆ !!
ลูกน้องมันที่ร่างกำยำไม่แพ้กันยกปืนขึ้นจ่อหัวผมโดยเร็วพลัน ส่วนลูกน้องผมก็ตั้งลำจ่อที่หัวนายมันอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“พยัค อย่า”
มันรีบปรามลูกน้องให้เอาปืนลงก่อนจะยกยิ้มตอแหลบาง ๆ ให้ผม
“ถึงตอนนี้นายจะยังไม่อยากรู้จักฉันก็ไม่เป็นไร แต่อีกไม่นาน นายจะได้รู้จักฉันดีแน่”
มันซ่อนความโกรธไว้ภายใต้ดวงตาเรียบนิ่งก่อนจะเดินหันหลังจากไป
“โธ่เอ๊ยย!! นึกว่าจะแน่!!”
ไอ้บอมตะโกนไล่หลังพวกมันอย่างเดือดดาล
“มันเป็นมาเฟียฝั่งไหนวะ บริเวณรอบ ๆ ย่านนี้ก็มีแต่ของไอ้ศิวะไม่ใช่หรอ” ผมเอ่ยถามไอ้บอมอย่างนึกสงสัย ไอ้บอมมันเป็นผู้รอบรู้ มันมักจะรู้ทุกอย่างรู้ทุกเรื่องเสมอ
“คืองี้ลูกพี่ ไอ้พวกนี้มันเพิ่งขยายอิทธิพลเข้ามาได้ไม่นาน ได้ยินว่าพวกมันโหดเหี้ยมเอาเรื่องอยู่ พวกมันประกบเราไว้ที่ฝั่งซ้ายกับขวา ส่วนไอ้ศิวะคือฝั่งบนกับฝั่งล่างแล้วทีนี้เส้นทางส่งสินค้ามันต้องผ่านย่านเราไง ไม่งั้นต้องอ้อมไปอีกฝั่งเลยล่ะ เพราะว่าย่านเราอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของกากบาทพอดีเป๊ะ”
มิน่าล่ะ พวกมันถึงอยากจะแย่งที่ตรงนี้จากผมนัก
“ไอ้มังกรกับไอ้ศิวะนี่แก๊งไหนใหญ่กว่ากันวะ”
“พอ ๆ กันแหละลูกพี่ แต่ไม่เคยเห็นไอ้ศิวะมันฆ่าใครมั่วซั่วนะ ไม่เหมือนพวกไอ้มังกร กว่าจะได้ปกครองฝั่งซ้ายมันฆ่าคนเก่าตายจนยกรังเลย”
ไอ้บอมพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล
นี่สินะ เหตุผลที่ไอ้ศิวะมันอยากปกครองย่านนี้นักหนา
‘เป็นไปได้มั้ย ที่มึงจะเชื่อใจกู’
‘แต่ไม่เคยเห็นไอ้ศิวะมันฆ่าใครมั่วซั่วนะ’
ผมเริ่มประมวลคำพูดของไอ้ศิวะกับไอ้บอมเข้าหากัน ไอ้ศิวะมันกดดันผมสารพัดก็จริง แต่มันไม่เคยส่งคนมาทำร้ายคนของผมหรือชาวบ้านเลยแม้แต่นิด หรือจริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่ผมคิดก็ได้…
พวกผมนั่งดื่มกันต่ออยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนจะพยุงกันกลับบ้าน
“อุทาหรณ์ ของคนรุ่นเก่า มีชายชรา เป็นคนขี้เมา
งานการไม่ทำ แกกินแต่เหล้า กินตั้งแต่เช้าทุกวี่วัน~”
เสียงร้องเพลงของชายขี้เมาห้าหกคนดังกังวานไปทั่วท้องถนน ทุกคนต่างเดินเป๋เซไปเซมา ยกเว้นผมคนเดียวที่ไม่ได้ดื่มเข้าไปมาก เพราะหลังจากเหตุการณ์ในคืนเสียตัวในวันนั้นผมก็เข็ดขยาดไม่กล้าหือกับเหล้าอีกเลย
“เมื่อครั้งยังหนุ่ม แกเคยทํานาเคยเอาหลังสู้ฟ้า ปลูกข้าวให้คนกิน หนี้สินล้นตัว เพราะมัวแต่ทํานา ไม่เคยเรียนรู้วิชา ที่นาก็หลุดลอย~”
พวกมันตะโกนแหกปากลั่นจนแสบแก้วหูจนผมต้องส่ายหน้าพัลวัน ทันใดนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชายร่างใหญ่ที่คุ้นตากำลังประกอบแผ่นไม้อะไรซักอย่าง อย่างเก้ ๆ กัง ๆ แถวข้างสะพานลอย
“นั่นมันไอ้ศิวะนี่หว่า มันมาทำอะไรแถวนี้วะ”
ผมพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วเบา
“ว่าไงนะลูกพี่?”
ไอ้บอมเอ่ยถามเสียงยืดยานและเปลือกตาที่ปรือแทบจะปิด
“เอ่อ… กูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ร้านเฮียก้ง เดี๋ยวกูกลับไปเอาก่อนนะ”
“เดี๋ยวผมกลับไปเอาให้ลูกพี่” ไอ้บอมเสนอ
“ไม่เป็นไร กูกะว่าจะไปซื้อของใช้ส่วนตัวด้วย”
ผมรีบตอบกลับทันที
“เอางั้นหรอลูกพี่ ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย”
ทั้งที่หน้าแดงก่ำแถมยังเดินเซไปเซมาแต่มันก็ยังมีกระจิตกระใจห่วงผมอยู่ มึงห่วงตัวเองก่อนเถอะบอมเอ๊ย
“ไม่เป็นไร พวกมึงกลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกู” ผมปัดมือไล่
ถึงพวกมันจะมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ก็ยอมทำตามที่ผมบอกโดยง่าย
พวกมันไม่ค่อยอยากทิ้งผมให้อยู่คนเดียวสักเท่าไหร่ ยิ่งช่วงนี้มีแต่คนจ้องจะเล่นงานผม พวกมันยิ่งเกาะติดผมแน่นยิ่งกว่ากาวตราช้างเสียอีก
หลังจากที่พวกมันทยอยกันเดินกลับไปผมก็เดินตรงเข้ามาหาไอ้ศิวะด้วยความสงสัย
จริง ๆ ผมไม่ได้ลืมกระเป๋าสตางค์อะไรนั่นหรอกครับ มันเป็นแค่ข้ออ้างให้ผมได้อยู่คนเดียวเท่านั้นเอง
“ทำไรวะ”
ผมเอ่ยถามเสียงเรียบขณะที่คนร่างใหญ่กำลังก้มหน้าก้มตาตอกตะปูลงแผ่นไม้เก่า ๆ อย่าทุลักทุเล
มันช้อนหน้าขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแฉ่งออกมาทันทีเมื่อเจอหน้าผม
“ไอ้อัถ มึงมาก็ดีเลยมาช่วยกูหน่อย”
มันกวักมือเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ สภาพมันตอนนี้ดูมอมแมมจนดูแทบไม่ได้มันสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน ใบหน้าถูกแต่งแต้มไปด้วยเศษดิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้ใบหน้าหล่อ ๆ ของมันมีเสน่ห์น้อยลง ไปเลย หยาดเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาตามตัวจนเปียกชุ่มเผยให้เห็นแผ่นอกแกร่งที่แนบติดเสื้อเพิ่มความเซ็กซี่ให้มันเข้าไปอีกเท่าตัว
ผมพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดอกุศลนี้ออกไปแล้วเดินเข้าไปหามันอย่างว่าง่าย
“ว่าไง”
“พอดีกูเห็นลูกหมาถูกทิ้งอยู่ตรงนั้นน่ะ”
มันชี้มือไปที่หลังพุ่มไม้ที่มีหมาสีน้ำตาลสองตัววิ่งไล่หยอกกันอย่างสนุกสนาน
“แล้ว?”
ผมกอดอกเอียงคอถามในสิ่งที่พอจะเดาคำตอบได้
“กูก็เลยมาทำบ้านให้มันอยู่”
มันว่าพร้อมกับผายมือไปที่บ้านไม้สะภาพอุบาทว์ที่ดูคลอนแคลนจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ด้วยท่าทางภูมิใจ
“หึ กูบอกตามตรงนะ ถ้ากูเป็นหมาแล้วมีคนมาสร้างบ้านสภาพเส็งเคร็งแบบนี้กูอยู่ กูยอมหนาวตายในพุ่มไม้ดีกว่า”
“ทำไมวะ”
มันนิ่วหน้าอย่างคนโดนขัดใจพร้อมกับใช้แขนเสื้อปาดเม็ดเหงื่อบนใบหน้าออก
ผลัก!!
โครมมม!!
“ไอ้เหี้ย มึงทำอะไรวะ!!”
มันหันหน้ามามองผมสลับกับบ้านหมาที่ล้มทับกันไม่เป็นท่าหลังจากที่ผมใช้เท้าถีบจนมันเซล้มไปอย่างง่ายดาย
“ทำให้มึงเห็นไง ว่าบ้านไม้ของมึงแม่งไม่แข็งแรง ถ้าพายุมามันได้ตายห่ากันพอดี”
เหมือนมันจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดแต่ก็ยังมีสีหน้าหงุดหงิดอยู่บ้าง
“มึงรู้มั้ยกว่ากูจะทำเสร็จ ใช้เวลาเกือบตั้งสองชั่วโมง”
มันทำหน้าบูดบึ้งเป็นตูดเด็ก เห็นแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้
ผมพยายามกลั้นขำสุดชีวิต แต่มันไม่ไหวจริง ๆ จนต้องระเบิดหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ กะอีแค่เอาเศษไม้มาเรียงกันเนี่ยนะ มึงถึงกับต้องใช้เวลาตั้งสองชั่วโมง กูถามจริงเหอะ มึงขึ้นมาเป็นหัวหน้ามาเฟียได้ไงวะ จับสลากเอางี้หรอ”
“ทำไม จะขึ้นมาเป็นมาเฟียได้มันต้องสร้างบ้านหมาเป็นรึไงวะ”
มันว่าพร้อมกับขว้างค้อนตีตะปูเข้าไปในป่าอย่างหัวเสีย
“โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรน้าา~ ถึงบ้านหมาของมึงจะทุเรศตาไปหน่อย แต่มันก็อุบาทว์ใช้ได้อยู่ ฮ่า ๆ ๆ”
ผมว่าพร้อมกับลูบไหล่ปลอบใจมัน แต่มันก็สะบัดออกด้วยความฉุนเฉียว
มึงนี่ก็ตลกเหมือนกันนะ นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นมุมปัญญาอ่อน ๆ จากผู้ชายสันเท่าควายแบบนี้
“ไอ้เหี้ยหมอบ!!”
ทันทีที่พูดจบผมก็กระชากแขนไอ้ศิวะให้หมอบลงต่ำ เมื่อเหลือบมองไปเห็นไอ้เข้มขับรถผ่านมาทางนี้ วันนี้ไอ้เข้มไม่ได้มาดื่มกับพวกผมเพราะเป็นเวรมันที่ต้องเข้าไปซื้อของสดไว้ทำอาหาร ผมก็ลืมไปเสียสนิทว่ามันต้องผ่านมาเส้นทางนี้
ผมชะโงกหัวดูก็พบว่ามันจอดรถอยู่ข้างทางก่อนจะก้าวขาลงจากรถ
เชี่ยแล้วไง!
ไอ้เข้มรีบวิ่งแจ้นตรงเข้ามาที่ขอบถนน โชคดีที่ตรงนี้มีกองไม้บังไว้อยู่
“หมอบลง”
ผมกระซิบบอกไอ้ศิวะเสียงแผ่วเบาพร้อมกับกดตัวมันให้นอนราบลงพื้น ส่วนผมก็นอนราบทับตัวมันไว้อีกที
“ใครมาวะ”
“ชูววว”
ผมใช้มือปิดปากมันไว้ในระยะประชิด
ไอ้เข้มเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าผมก่อนจะหันซ้ายแลขวา
มันปลดกระดุมกางเกงออกอย่างลนลาน ผมเห็นอย่างนั้นก็ตาเบิกโพลง
อย่าบอกนะว่ามึงจะ….
ฉี่!!!
“อ้าาาา~ เกือบฉี่ราดแล้วมั้ยล่ะกู”
มันว่าพร้อมกับทำหน้าตาฟินสุดฤทธิ์ขณะที่ปล่อยน้ำสีเหลืองใสพุงออกมา
ไอ้ฉิบหายเอ้ย!! มาฉี่อะไรตรงนี้วะ
“บรื้ออออ!!”
มันสะบั้นไปทั้งตัวก่อนจะเก็บอาวุธเข้าสู่กางเกงแล้วหันหลังเดินกลับไปที่รถจากนั้นก็ขับบึ่งออกไป
ฟูววว!!
“นึกว่าจะไม่รอดซะละ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหน้าไปประสานสายตาของไอ้ศิวะที่จับจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว
พลันหัวใจผมก็เริ่มมีปฏิกิริยากับสายตาคู่เฉี่ยวคมของมันอย่างปิดไม่มิด หัวใจผมเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างควบคุมไม่อยู่ และยิ่งไปกว่านั้นคือผมก็ได้ยินเสียงหัวใจของมันที่เต้นดันเนื้ออกจนแทบทะลุออกมาเช่นกัน
ไอ้ศิวะเคลื่อนมือเข้ามาสอดบริเวณต้นคอของผม พร้อมกับรั้งให้โน้มลงไปแนบชิดใบหน้ามันยิ่งขึ้น ผมเองก็เหมือนกับต้องมนต์สะกดไปชั่วขณะ โน้มใบหน้าเข้าไปแนบชิดใบหน้ามันก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ พร้อมเตรียมรับสัมผัสอันแสนนุ่มนวลจากริมฝีปากบางของคนด้านล่าง แต่ทันใดนั้น…
“เชี่ยเอ๊ย!! เยี่ยว”
ยังไม่ทันที่ริมฝีปากเราจะได้ประกบกัน ไอ้ศิวะก็ผลักตัวผมออกพร้อมกับเด้งตัวขึ้นทันที
มันรีบหันหลังให้ผมดูอย่างลนลาน
“เปื้อนเยอะมั้ยวะ”
มันถามอย่างหัวเสีย
“หึหึ เต็มหลัง”
“แม่งเอ๊ย!! โคตรซวย”
มันทำหน้าขยะแขยงราวกับจะอ้วกออกมา เห็นอย่างนี้แล้วผมก็อดสะใจไม่ได้จริง ๆ
สมน้ำหน้า!!