บทที่ 4
ใครจะลืมลง
เสียงโทรศัพท์ปลุกร่างหนาเปล่าเปลือยที่นอนคว่ำหน้าให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเวลาประมาณสิบโมงเช้า วริศพลิกกายนอนหงายแล้วขยับนั่งพิงหัวเตียง คว้าเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่ยังส่งเสียงขึ้นมาดูว่าใครเป็นคนโทร. เข้ามา ชายหนุ่มสั่นศีรษะแรง ๆ เพื่อไล่ความง่วงงุน จากนั้นก็รับสายจากเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ
“เออ”
[โอ้โหเสียง อย่าบอกว่าเพิ่งตื่น ?]
“เออ”
[นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วครับไอ้คุณเจ]
“มึงมีไร” คนที่เพิ่งตื่นถามเข้าประเด็น พลางก้าวขายาว ๆ ลงจากเตียง เอียงศีรษะหนีบโทรศัพท์เข้ากับหัวไหล่ คว้าผ้าขนหนูที่วางอยู่แถวนั้นมาพันรอบเอวสอบแล้วเดินไปยืนที่หน้ากระจก ยกมือข้างที่ไม่ได้จับโทรศัพท์เสยผมไปข้างหลัง เปิดปากหาวแล้วสะบัดหัวไล่ความง่วงอีกครั้ง
[หาวขนาดนี้ ฟัดเด็กหนำใจเลยดิไอ้ห่า แต่ได้ข่าวว่าเมื่อคืนเด็กมึงยำผับกูเละเลย]
ครั้นได้ยินคำว่า ‘เด็ก’ วริศก็พลันนึกขึ้นมาได้ ใบหน้าหล่อเหลากวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง ก็พบว่าไม่มีร่องรอยของหญิงสาวที่เขากอดรัดฟันเหวี่ยงกระทั่งฟ้าสางอยู่ที่นี่แล้ว ร่างสูงเดินเข้าไปสำรวจในห้องน้ำ เห็นเพียงซิลิโคนปิดจุกที่เขาแกะมันเองกับมือนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นกระเบื้องอย่างไร้ค่า
เธอออกไปโดยไม่มีไอ้นี่ติดตัวไปน่ะหรือ ?
[เฮ้ย ฟังกูอยู่ปะวะ สรุปเมื่อคืนใช่เด็กมึงจริง ๆ หรือเปล่า]
“เปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธเพราะหญิงสาวคนนั้นยังไม่ใช่เด็กเขา เธอเป็นเพียงผู้หญิงที่เขาจ่ายเงินค่าประกันตัวให้แล้วหิ้วมานอนด้วยก็แค่นั้น แต่ก็น่าเสียดายที่ตื่นมาแล้วไม่เจอ เขากะว่าจะตกลงกับเธอเรื่องผูกปิ่นโตเก็บไว้กินในระยะยาวสักหน่อย
รู้อย่างนี้น่าจะคุยให้รู้เรื่องตั้งแต่แรกเสียก็ดี
บอกตรง ๆ ว่าเขาถูกใจเธอ ผ่านผู้หญิงมาก็มาก อาจถึงขั้นที่เรียกว่าโชกโชน แต่น้อยครั้งที่จะเจอคนไร้ประสบการณ์ทว่าร้อนแรงอย่างเธอคนนี้
และอีกเรื่องที่น่าเสียดาย เมื่อคืนเขาไม่น่าพกถุงยางอนามัยแค่สองชิ้นเลย ไม่อย่างนั้นเขาคงได้จัดกับเธอมากกว่าสองรอบจนหนำใจ นึกแล้วก็อยากเรียกตัวกลับมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่รู้จะไปตามเธอได้จากที่ไหน เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย นอกจากชื่อที่เธอบอกกับตำรวจตอนลงบันทึกประจำวัน
รุ้งตะวันงั้นหรือ ชื่อเพราะดีนี่นา
[เอ๊า เชี่ยไรวะ ไม่ใช่เด็กมึง แล้วทำไมมึงถึงให้บัตรตัวเองกับพนักงานที่ร้านไว้] ปลายถามอย่างงุนงง เริ่มไม่แน่ใจว่าตนต้องไปเก็บค่าเสียหายจากใคร
“ก็กูจะเป็นคนจ่าย เท่าไหร่ก็ส่งบิลมาแล้วกัน”
[อ้าว ไอ้เหี้ย กูงงไปหมดละ ไหนบอกไม่ใช่เด็กมึง แล้วมึงจะจ่ายทำไม] ครั้งนี้นวพลถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นล้วน ๆ ด้วยจำนวนเงินมันไม่ใช่หมื่นหรือสองหมื่นบาท หากแต่เป็นหลักแสน ขี้เหนียวอย่างไอ้เจคงไม่ควักเงินจ่ายให้ใครง่าย ๆ ถ้าคนคนนั้นไม่สำคัญหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับมัน
ที่ต้องจ่ายถึงหลักแสนก็เพราะว่าไม่ได้มีเพียงแค่ข้าวของในร้านที่เสียหาย ทว่าเหตุการณ์ชุลมุนทำให้ลูกค้าหลายโต๊ะรีบออกจากร้านทั้งที่ยังไม่ได้เช็กบิล ด้วยกลัวจะโดนลูกหลง ถึงขวดวอดก้าที่หญิงสาวถึงไปฟาดหัวผู้ชายคนนั้นจะไม่แตก ทว่าขวดมิกเซอร์และแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นและโต๊ะใกล้เคียงกลับแตกกระจายเพราะแรงกระแทก ลูกค้าบางส่วนจึงรีบเผ่นออกไปทั้งที่ยังไม่ได้จ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม เป็นเหตุให้เจ้าของร้านต้องนำไปรวมไว้ในบิลค่าเสียหาย ไม่อย่างนั้นร้านก็คงขาดทุนย่อยยับ
วริศยกมือขึ้นมาเกาหางคิ้วกับคำถามชวนปวดหัว แต่กระนั้นก็ตอบในสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุด “มีข้อแลกเปลี่ยนกันนิดหน่อย กูเลยต้องเป็นคนจ่าย”
ตอนแรกเขาก็คิดว่าคงได้ไม่คุ้มเสีย ทว่าพอได้ลิ้มลองก็พบว่าไม่คุ้มจริง ๆ นั่นแหละ
เสียเงินไปเป็นแสน ๆ แต่ได้แค่สองครั้งมันคุ้มที่ไหนกัน!
[ก็คือมึงจ่ายเงินซื้อผู้หญิงไปนอนด้วย ?]
“ประมาณนั้น” สิ่งที่เขาทำเมื่อคืนก็คงเรียกว่าซื้อกินนั่นแหละ จะต่างก็ตรงที่ซื้อแบบพิษดารไปสักหน่อย
[ไอ้เพื่อนชั่ว! งี้ก็แปลว่ามึงสนับสนุนให้ยายคนนั้นพังร้านกูน่ะสิ] นวพลรู้สึกเดือดปุด ๆ ขึ้นมาทันทีเมื่อหาต้นตอของเรื่องวุ่นวานที่เกิดขึ้นในผับตัวเองเจอ เรื่องข้าวของที่เสียหายไปนั้นไม่เท่าไร แต่ชื่อเสียงและความปลอดภัยของร้านที่เสียไปนี่สิ ต้องใช้เวลากี่วันถึงจะเรียกความมั่นใจของลูกค้ากลับมาได้
“กูไม่รู้ว่ายายนั่นจะบ้าบิ่นขนาดนั้น” จนถึงตอนนี้เขายังนึกทึ่งในความใจกล้าของเธอไม่หาย ผู้หญิงอะไรปากจัดและใจเด็ดฉิบหาย แต่ในทางกลับกันก็เร้าใจเป็นบ้า
ครั้นเผลอนึกถึงความร้อนแรงที่กระหน่ำใส่กันตอนใกล้จะรุ่งสาง ความเป็นชายภายใต้ผ้าขนหนูที่พันรอบเอวไว้ต่ำ ๆ ก็พลันแข็งตัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ชายหนุ่มคิดกับตัวเอง...กูหื่นขนาดนี้เลยเหรอวะ
[ยังไง]
วริศตัดสินใจเล่าเรื่องเมื่อคืนให้เพื่อนสนิทฟังแบบสั้น ๆ พอให้รู้ที่มาที่ไป ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก แล้วก็ไม่ได้บอกว่าเซ็กช์ของยายคนนั้นดุเดือดและถึงใจคนมากประสบการณ์อย่างตนมากแค่ไหน
[งี้ก็แปลว่าเมื่อคืนมึงฟันเมียชาวบ้านน่ะสิ]
อ้อ! แล้วเขาก็ไม่ได้บอกว่ายายนั่นยังบริสุทธิ์ เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้เชยชม
แม้ไม่ได้ใส่ใจ แต่พอคิดถึงเรื่องนี้ก็อดรู้สึกดีและภาคภูมิใจขึ้นมาไม่ได้
“เขาเลิกกันแล้วไอ้ห่า พูดซะกูกลายเป็นคนบาปเลย”
[เลิกปุ๊บ มึงเสียบต่อปั๊บเลยงี้ ?]
“เออ มึงมีธุระแค่นี้ใช่ไหม กูจะได้วาง” วริศตัดบท เพราะเห็นว่าใกล้สิบโมงครึ่งแล้ว วันนี้เขาต้องรีบเข้าบริษัทให้ทันก่อนบ่ายโมง ไหนจะต้องเผื่อเวลากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดฯ ก่อนด้วย
[เออ มีแค่นี้แหละ กูแค่โทร. ไปทวงเงินค่าเสียหาย กลัวมึงจะเบี้ยว]
“ตั้งใจโทร. มาเสือกก็พูดเถอะ” ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไอ้เพื่อนคนนี้มันสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านมากแค่ไหน
[ถือว่ารู้จักกันจริง] ปลายสายเอ่ยกลั้วขำ ยอมรับง่าย ๆ ด้วยไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องเสียหาย
วริศส่ายหน้าเอือมก่อนจะเอ่ยตัดบท “แค่นี้ ค่าเสียหายเท่าไหร่ส่งยอดมา”