บทที่ 6
ติดใจ อยากได้อีก
Noomnimnoi : วันนี้ทำงานใหม่วันแรก นิ่มขอให้เป็นการเริ่มต้นที่ดีนะคะ จุ๊บ ๆ
รุ้งตะวันอ่านข้อความที่ถูกส่งมาจากชนกนันท์ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปว่าขอบคุณ พร้อมแนบสติกเกอร์รูปแมวซึ่งมีคำว่าคิดถึงส่งไปด้วย เสร็จแล้วจึงเก็บสมาร์ตโฟนเข้ากระเป๋าสะพายแฟชัน เงยหน้ามองตึกสูงตั้งตระง่านอยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นที่ทำงานใหม่ของตน ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกระโปรงทรงกระสอบเข้ารูปสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนออกหนึ่งที จากนั้นเดินเข้าไปข้างในด้วยความมั่นใจ
วันนี้เป็นวันที่รุ้งตะวันได้เริ่มงานที่ใหม่ เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าออกนอกประเทศทางเรือ อันที่จริงหญิงสาวไม่มีความรู้ในด้านนี้เลย จะเรียกว่าการเข้าทำงานในบริษัทชั้นนำแบบนี้ได้เพราะเส้นสายก็ไม่ผิด ป้าของเธอรู้จักกับ HR ที่นี่ จึงฝากฝังให้รับเธอเข้ามา
เธอเรียนจบคณะบริหาร สาขาการจัดการ ทว่าได้ทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาด ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์เลย แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะยากถ้าได้ครูสอนดี เธอคิดว่าเรื่องพวกนี้มันสามารถเรียนรู้กันได้
“น้องซัน หลานสาวพี่สุใช่ไหมเอ่ย” เสียงหวานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลทักขึ้นเมื่อเธอเดินมาถึงโถงลิฟต์ซึ่งเป็นจุดนัดหมาย ส่วน ‘พี่สุ’ ที่กล่าวถึงคือสุดาผู้เป็นป้าของรุ้งตะวันนั่นเอง
“ใช่ค่ะ พี่คือพี่ตาลใช่ไหมคะ” หญิงสาวยกมือไหว้แล้วถามกลับเพื่อความแน่ใจว่าใช่คนที่คุยไลน์กับตนหรือไม่
“ใช่แล้วจ้ะ ยินที่ได้รู้จักนะ” คนที่อายุมากกว่ายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะชวนพนักงานใหม่ขึ้นไปกรอกเอกสารที่ฝ่ายซึ่งอยู่ชั้นสิบ พร้อมแนะนำรายละเอียดต่าง ๆ ที่พนักงานใหม่ควรรู้ ระหว่างที่สองสาวต่างวัยกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงทรงอำนาจของหัวหน้าฝ่ายบุคคลถามแทรกขึ้นมา
“คนนี้พนักงานใหม่ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ ชื่อน้องซัน ที่มาสัมภาษณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อน น้องได้ลงฝ่ายการตลาด” ตาลแนะนำน้องใหม่กับหัวหน้า รุ้งตะวันยกมือไหว้อย่างรู้งานโดยไม่ต้องมีใครบอก
สันติรับไหว้ แล้วมองสำรวจหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ครั้นเห็นว่าบุคลิกดีใช้ได้จึงเงยหน้าขึ้นมาถาม “สะดวกทำงานนอกเวลาไหม”
“คะ ?” รุ้งตะวันทำหน้างง ไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายถามนัก แต่กระนั้นก็ตอบออกไปตามความจริง “สะดวกค่ะ”
“แล้วพักที่ไหน” สันติยังคงถามต่อคล้ายสัมภาษณ์งานเธออีกครั้ง
“พักแถว...” เธอบอกชื่อย่านที่ตนพักไป ซึ่งก็ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าไร ก่อนหน้านี้ที่พักเธอค่อนข้างไกลจากบริษัทนี้ ทว่าโชคดีที่สามีของป้ามีคอนโดฯ ปล่อยเช่าอยู่แถวนี้ห้องหนึ่งและไม่มีคนเช่าอยู่พอดี ท่านจึงให้เธอเช่าในราคาถูก กลายเป็นว่าทุกอย่างลงตัว ได้งานใหม่ที่เงินเดือนเยอะกว่าเดิม มิหนำซ้ำยังมีที่พักอยู่ใกล้ ๆ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
“เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าคะหัวหน้า” ตาลที่ไม่เข้าใจเช่นกันเอ่ยถามหัวหน้าของตน ซึ่งเป็นคำถามที่รุ้งตะวันเองก็อยากรู้เหมือนกัน
“พอดีอาทิตย์ก่อนคุณแป้งเลขาท่านประธานประสบอุบัติเหตุ รถคว่ำ ตอนนี้ยังขยับตัวไม่ได้ หมอวินิจฉัยว่าควรหยุดพักประมาณสามเดือน ข้างบนเลยประสานลงมาว่าอยากได้คนไปทำหน้าที่นั้นชั่วคราว แล้วขอแบบด่วนที่สุด ระหว่างนี้ผมเลยจะให้คุณซันไปทำตำแหน่งนั้น เพราะคงหาคนอื่นไม่ทันแล้ว”
“คือหมายถึงจะยืมตัวไปก่อนน่ะเหรอคะ” ตาลถามย้ำให้แน่ใจ
“ใช่ พอเลขาคนเก่าหายดี ก็ให้กลับมาทำที่การตลาดเหมือนเดิม” ตอบลูกน้องของตนจบ สันติก็หันมาพูดกับรุ้งตะวัน “คุณไม่ต้องกังวลนะ ทำแค่ระยะสั้น ๆ เท่านั้น แต่ระหว่างที่ทำบริษัทก็จะมีเงินค่าตำแหน่งให้ด้วย และถ้าทำนอกเวลาบริษัทก็จะจ่ายส่วนนั้นให้อีกต่างหาก”
“โอเคไหมน้องซัน” ตาลหันมาถามความเห็นของพนักงานใหม่
“โอเคค่ะ” พอรู้ว่าได้เงินเพิ่ม คนที่ต้องแบกภาระครอบครัวก็ไม่ติดขัดอะไร ทำงานนอกเวลาเธอไม่กลัว เพราะตอนนี้เธอกลัวที่บ้านจะไม่มีเงินใช้หนี้มากกว่า ฉะนั้นงานไหนที่ทำแล้วได้เงินมากกว่า เธอก็ยินดีทำ ถึงจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เธอก็ไม่เกี่ยง
“ตาลไปทำงานต่อได้ ส่วนคุณมากับผม”
เมื่อได้ข้อสรุปที่ง่ายกว่าที่คิด สันติก็เดินนำพนักงานใหม่ไปยังลิฟต์เพื่อจะพาขึ้นไปแนะนำตัวกับท่านประธาน ระหว่างทางชายวัยกลางคนก็แนะนำรายละเอียดงานคร่าว ๆ ให้หญิงสาวฟังว่าในแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งรุ้งตะวันฟังแล้วก็เบาใจเพราะมันไม่ได้ยากอะไร หน้าที่หลัก ๆ ก็คือเป็นผู้ช่วยเจ้านายและทำตามที่นายสั่งเท่านั้นเอง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่เจ้าของบริษัทขนส่งสินค้ายักษ์ใหญ่ของประเทศกำลังจรดปากกาเซ็นอนุมัติงาน ชายหนุ่มเอ่ยอนุญาตทั้งที่ไม่ได้ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า
“เข้ามาครับ” พูดจบก็พลิกเปิดหน้าต่อไป ไล่สายตาอ่านทวนอีกรอบหนึ่งก็จรดปากกาลงไปอีกครั้ง
“สวัสดีครับ ผมสันติจากฝ่ายบุคคล พาเลขาคนใหม่มาแนะนำตัวครับ”
“เชิญแนะนำตัวได้ครับ” ประธานบริษัทบอก โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเพราะกำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเนื้อหาของงานที่สำคัญ
ฝั่งเลขาคนใหม่ที่ยังไม่เห็นใบหน้าของว่าที่เจ้านายชัด ๆ จึงเอ่ยแนะนำตัวไปด้วยน้ำเสียงปกติ
“สวัสดีค่ะ ดิฉันรุ้งตะวัน เจริญรุ่งกิจ...”
ทว่ายังไม่ได้แนะนำอะไรไปมากกว่านั้น ชื่อและน้ำเสียงที่ติดตรึงในโสตประสาทก็ทำให้มือที่กำลังจะตวัดปลายปากกาลงกระดาษอีกครั้งชะงักกึก ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นไปมองหญิงสาวเจ้าของชื่อทันที ครั้นเห็นว่าใช่คนคนเดียวกันจริง ๆ มุมปากของชายหนุ่มก็ยกยิ้มขึ้นนิด ๆ ด้วยรู้สึกอารมณ์ดี
พอตัดใจเลิกค้นหา เธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าเสียอย่างนั้น บทจะง่ายก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก วริศคิดในใจ
รุ้งตะวันที่ได้เห็นใบหน้าชัด ๆ ของคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของประธานบริษัทก็เบิกตากว้างจนแทบจะถลน พร้อมกับก้อนเนื้อในอกเต้นตุบ ๆ แทบจะกระเด็นกระดอนออกมาข้างนอก แม้ว่าเธอจะจำเขาได้แม่นและทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ค่อนข้างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อ จึงเลือกถามออกไปเพื่อความแน่ใจด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ
“คะ คุณคือเจ้าของบริษัทนี้ ?”
“ใช่ครับ” วริศพยักหน้า ยิ้มรับด้วยความภาคภูมิใจ จากที่กำลังเคร่งเครียดกับงาน แต่พอรู้ว่าเลขาคนใหม่คือใครก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซีอีโอหนุ่มวางปากกาลง ก่อนที่ใบหน้าคร้ามคมจะหันกลับไปพูดกับสันติที่ยืนมองด้วยสีหน้างุนงง “คุณไปทำงานต่อได้ เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง”
ชายวัยกลางคนมองพนักงานใหม่ด้วยความเป็นห่วงระคนกังวลนิด ๆ ด้วยไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น กลัวหญิงสาวจะตอบคำถามของท่านประธานไม่ได้ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าขัดคำสั่งผู้เป็นนาย อีกอย่างเธอคงมีไหวพริบและสามารถเอาตัวรอดได้ จึงได้แต่ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วหมุนตัวออกจากห้องไปในที่สุด
“ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งครับ” วริศเอ่ยขึ้นหลังจากหัวหน้าฝ่ายบุคคลเดินออกจากห้องทำงานไปแล้ว ชายหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง เดินล้วงกระเป๋ากางเกงมาหยุดที่หน้าโต๊ะทำงาน ยืนไขว้ขาพิงสะโพกกับขอบโต๊ะ ไล้สายตามองสำรวจร่างบางที่อยู่ในชุดทำงานเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า
อ่า...ชุดที่เธอใส่วันนี้ไม่ได้อวดสัดส่วนโชว์เนื้อหนังเหมือนวันนั้น เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว ทว่ากลับไม่ทำให้ความน่าสนใจลดน้อยลงเลยสักนิด เป็นเพราะอะไรกันนะ ประธานหนุ่มได้แต่คิดอย่างสงสัย
“เอ่อ...” เมื่อถูกจ้องอย่างเปิดเผย แววตาของเขาไม่ต่างจากคืนนั้นเลยแม้แต่น้อย รุ้งตะวันเกิดอาการประหม่า หัวใจยังกระหน่ำรัวอยู่ในอก สายตาล่อกแล่กไม่รู้จะโฟกัสที่ใด จะมองหรือจะขยับไปทางไหนก็รู้สึกขัดเขินไปเสียหมด ไม่รู้ว่าควรวางตัวอย่างไรกับเจ้านายที่เคยทำกิจกรรมเร่าร้อนด้วยกันอย่างถึงพริกถึงขิงเมื่อสองเดือนก่อน
เพียงแค่ได้สบตา ภาพอันวาบหวิวของการร่วมรัก ทุกทวงท่าที่เขากระแทกกระทั้นเข้ามา รวมถึงเสียงครางกระเส่าที่ดังสลับกับเสียงเนื้อกระทบกันก็ผุดเข้ามาในหัว ทั้งที่มันผ่านมาตั้งสองเดือนแล้ว แต่ทุกสัมผัสยังติดตรึงอยู่ในความรู้สึกราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
รุ้งตะวันหน้าร้อนผะผ่าวลามไปถึงใบหู พลางคิดว่าแบบนี้มันไม่น่าอายเกินไปหรือหากต้องเจอหน้ากันทุกวันหลังจากนี้ แต่ถึงมาถึงขั้นนี้เธอคงถอยไม่ได้แล้ว การหางานใหม่ที่เงินเดือนสูง ๆ ในยุคไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอครับ หรือว่าจำผมไม่ได้” วริศพูดขึ้นอีกครั้ง มองใบหน้าสวยเฉี่ยวที่แต่งแต้มเครื่องสำอางบางเบาด้วยรอยยิ้ม มากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เขามั่นใจว่าเธอจำเขาได้ แต่ที่ไม่ยอมพูดอะไรก็อาจจะเป็นเพราะตกใจหรือไม่ก็เขินอาย และเขาเดาว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
มีมุมขี้อายเหมือนกันแฮะ นึกว่าจะฟาดเป็นอย่างเดียว