ขอได้ไหม...
ร่างสูงสง่าที่มีเหงื่อชุ่มตัวเดินออกมาจากห้องออกกำลังภายในเพนต์เฮาส์สุดหรูขนาดสามร้อยตารางเมตร สืบเท้าตรงเข้าไปในครัว ยื่นมือออกไปกดเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติทิ้งไว้ แล้วเริ่มทำอาหารเช้าง่าย ๆ สไตล์อเมริกัน อย่างเช่นไข่ดาว ไส้กรอก และแฮม
เมื่อทำเสร็จก็ยกไปนั่งรับประทานที่โต๊ะกินข้าว ซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองวิวกรุงเทพมหานครได้ถึงร้อยแปดสิบองศา หากแต่สำหรับวริศนั้นไม่ได้รู้สึกภิรมย์กับมันมากนัก เพราะเขาเห็นมานานจนชินตาไปเสียแล้ว
เจ้าของบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศคว้าไอแพดมาเปิดเช็กตารางงานของตนเองสำหรับวันนี้ ไล่สายตาอ่านคร่าว ๆ ว่าต้องไปที่ไหนหรือทำอะไรบ้าง ก่อนจะสลับหน้าต่างไปอ่านข่าวสารในด้านเศรษฐกิจประจำวันระหว่างนั่งกินมื้อเช้า
เสียงออดหน้าประตูทำให้มือหนาซึ่งกำลังเก็บจานหยุดชะงัก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย พร้อมพยายามนึกว่าตนได้สั่งของหรือนัดใครไว้ไปหรือเปล่า ด้วยห้องของเขาอยู่บนตึกสูงยี่สิบชั้น อีกทั้งระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็อยู่ในขั้นดีเยี่ยม จึงไม่น่าจะมีใครขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้
เขาไม่ได้กลัว เพียงแต่ไม่ชอบให้ใครมารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว
พลันนั้นวริศก็นึกขึ้นได้ เพราะมีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่สามารถขึ้นมาบนนี้ได้ และหนึ่งในนั้นที่ยังมีตัวตนอยู่ในชีวิตเขาก็คือ...
“แม่”
“กว่าจะเปิดได้นะพ่อคุณ ทำไมไม่ปล่อยให้แม่เป็นลมอยู่หน้าห้องแกเลยล่ะ” คุณพิไลลักษณ์เอ่ยประชดประชันด้วยความหงุดหงิดทันทีที่ลูกชายเพียงคนเดียวออกมาเปิดประตูห้องให้
“แม่มาทำไม” วริศถามเสียงเรียบ ก่อนจะปิดประตูแล้วเดินตามร่างท้วมของมารดาที่เดินนำเข้าไปยังโถงรับแขกที่โล่งโปร่ง
“แม่มีเรื่องจะคุยกับแก” หญิงวัยกลางคนวางกระเป๋าหรูราคาเจ็ดหลักลงบนโต๊ะกระจกทรงเตี้ยตรงหน้า แล้วหย่อนตัวนั่งบนโซฟายาวรูปตัวแอลสีเทาอ่อนจากแบรนด์ต่างประเทศ
“เรื่องอะไรครับ” เจ้าของร่างสูงร้อยเจ็ดสิบแปดก้าวเข้าไปนั่งโซฟาเดี่ยวซึ่งตั้งอยู่ข้าง ๆ กัน ก่อนจะถามเข้าประเด็นทันที เพราะต้องเข้าบริษัทก่อนเก้าโมง จึงทำให้เขาเหลือเวลาไม่มากสักเท่าไร
“แม่อยากให้แกแต่งงาน”
ได้ยินแบบนั้นวริศก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย อุตส่าห์คิดในแง่ดีว่าวันนี้ผู้เป็นมารดาคงมาหาด้วยธุระเรื่องอื่น หากแล้วกลับไม่พ้นมาด้วยเรื่องเดิม ๆ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าท่านจะอะไรนักหนากับเรื่องแต่งงาน แต่กระนั้นก็ยังใจเย็นถามถึงจุดประสงค์
“แต่งเพื่ออะไรครับ”
“ย่าแกอยากอุ้มเหลน”
คราวนี้คนฟังถึงกับกลอกตา ถอนหายใจแรงกว่าเดิมคล้ายว่าเหตุผลของผู้เป็นมารดานั้นตลกสิ้นดี “มีธุระแค่นี้ใช่ไหมครับ ผมจะได้ไปทำงาน”
“เจ ตอนนี้แกอายุสามสิบเจ็ด แกควรสร้างครอบครัวได้แล้วนะ” คุณพิไลลักษณ์เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนอกอ่อนใจเมื่อเห็นลูกชายทำท่าจะลุกออกไป “ย่าแกป่วยเป็นมะเร็ง ย่าแกกำลังจะตาย”
“หึ” วริศแค่นยิ้มด้วยไม่เชื่อในสิ่งที่มารดาพูด มุกเดิม ๆ แบบนี้หลอกเขาไม่ได้อีกแล้ว “คราวนี้ถึงกับแช่งคุณย่าเลยเหรอครับ”
“เจ ครั้งนี้แม่ไม่ได้โกหก ย่าแกเป็นมะเร็งจริง ๆ เพิ่งตรวจเจอเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว หมอบอกว่าเป็นระยะที่สอง สามารถอยู่ได้อีกห้าปี”
“ระยะที่สอง แปลว่ามีโอกาสรักษาหาย ?”
“ใช่ แต่ก็ต้องมีกำลังใจ ย่าแกอยากเห็นหน้าเหลน” หญิงวัยกลางคนมองหน้าลูกชายด้วยแววตาขอร้อง เพราะไม่ใช่แค่แม่สามีที่อยากเห็นหน้าเหลน หล่อนเองก็อยากอุ้มหลาน อยากเห็นลูกชายเพียงคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝาเช่นกัน “ทำเพื่อย่าแกเถอะนะเจ”
“ครั้งล่าสุดก็ทำเพื่อแม่ ครั้งนี้ก็เพื่อย่าอีกสินะ” เรียวปากหยักได้รูปยิ้มเย้ยหยัน กี่ครั้งแล้วที่เขาต้องทำเพื่อคนอื่น เห็นใจคนอื่น ทั้งที่คนอื่นไม่เคยถามความเห็นเขาเลยว่าโอเคหรือเปล่า “ผมขอทราบเหตุผลจริง ๆ ได้หรือเปล่าว่าทำไมผมต้องแต่งงานในครั้งนี้” ชายหนุ่มถามมารดาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
คุณพิไลลักษณ์เบียดริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสดเข้าหากัน มองคนเป็นลูกอย่างไม่แน่ใจว่าควรพูดไปหรือไม่ แต่พอได้สานสบกับนัยน์ตาสีเข้มดุดันถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อคู่นั้น ก็ทำให้หล่อนตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด
“ลูกสาวเพื่อนสนิทแม่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก หน้าตาสะสวย กิริยาเรียบร้อย น่ารัก แม่กับคุณย่าเห็นตรงกันว่าน้องเหมาะกับตำแหน่งสะใภ้โรจน์ทรัพย์ เพราะคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกด้านแม่ก็เลยทาบทามมาให้แก”
วริศได้แต่ถอนหายใจ กี่ครั้งแล้วที่คนในบ้านทำอะไรโดยไม่ถามความเห็นเขาก่อน คิดอยากจะจัดการชีวิตเขาอย่างไรก็ได้งั้นสิ
ครั้นเห็นว่าลูกชายมีท่าทีจะปฏิเสธ พิไลลักษณ์ก็รีบพูดขึ้นมาอีก “แต่ที่บอกว่าย่าแกป่วย ฉันพูดจริง ๆ นะ ไม่ได้โกหก ถ้าไม่เชื่อจะดูใบรับรองแพทย์ก็ได้”
“เชื่อได้เหรอครับ ครั้งที่แล้วก็ตบตาผมจนถึงขั้นนอนโรง’บาล สายน้ำเกลือระโยงระยาง คิดว่าครั้งนี้ผมจะยอมเชื่อ ?” ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนใจไม่ไส้ระกำ ทว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นคนใจดีและเห็นอกเห็นใจคนอื่นมาก่อน แต่สุดท้ายประสบการณ์มันก็สอนว่าเขาเป็นได้เพียงไอ้โง่เท่านั้น ผิดหรือที่เขาจะเลือกตั้งป้อม คิดในแง่ลบไว้ก่อนเพื่อปกป้องตัวเอง
หลังจากผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสามครั้ง วริศก็รู้สึกปลง ไม่อยากเอาชีวิตตัวเองเข้าไปหาความวุ่นวายอีก อยู่คนเดียวแบบนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว ทุ่มเทชีวิตให้กับงาน เหงาก็ออกไปเที่ยว อยากก็ซื้อกิน แค่นั้นก็จบ
...ครั้งแรกชายหนุ่มแต่งตอนอายุยี่สิบสามปีกับแฟนที่คบกันมานานถึงเจ็ดปี ตั้งใจแต่งเพราะความรัก หวังจะสร้างครอบครัวกับผู้หญิงที่เขารักและคิดว่าเธอคือคนที่ใช่ เขาทุ่มเทให้เธอเต็มที่เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ คาดหวังว่าเธอจะเป็นคู่ชีวิตที่ดี ทว่าอยู่กินกันได้สองปีก็ต้องหย่าร้าง เมื่อจับได้ว่าภรรยาแอบไปมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับลูกชายเจ้าสัวที่รวยกว่า และที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือไอ้ผู้ชายคนนั้นมันคือเพื่อนสนิทของเขาเอง ซึ่งปัจจุบันก็ได้ตัดขาดกันไปเรียบร้อยแล้ว
...การแต่งงานครั้งที่สองเกิดขึ้นหลังจากหย่าร้างไปประมาณสองปีกว่า ๆ กับผู้หญิงที่ผู้เป็นมารดาหามาให้ เพื่อหวังจะให้เจ้าหล่อนช่วยดามใจเขา และด้วยยังช้ำใจกับรักครั้งเก่า วริศจึงยอมแต่โดยดี จะเรียกว่าแต่งประชดรักก็ไม่ผิดสักเท่าไร เขาพยายามเปิดรับและให้เกียรติผู้หญิงคนนี้ในฐานะภรรยาอย่างเต็มที่ แต่เพราะเขาไม่ได้รัก มันจึงกลายเป็นว่าเขาต้องฝืนทำด้วยความจำใจ อีกทั้งยังมีนิสัยหลายอย่างที่เข้ากันไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องหย่าร้างกันไปภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี
ส่วนครั้งที่สามเขาแต่งตอนอายุสามสิบเอ็ด ครั้งนี้มีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องหากก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะผู้เป็นแม่ก็ยังคาดหวังอยากให้เขามีคู่ชีวิตที่ดี และไม่อยากให้เจ็บช้ำกับบาดแผลจากรักครั้งแรก ซึ่งวริศเข้าใจเจตนาของท่าน แต่ก็ขอปฏิเสธ ค้านหัวชนฝา ยืนยันหนักแน่นว่าอย่างไรก็ไม่ยอมแต่ง
ทว่าสุดท้ายก็ตกหลุมพรางของมารดาที่แกล้งป่วยจนตรอมใจ นอนบนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลเหมือนคนใกล้ตายและขอร้องให้เขาแต่งงาน ตอนนั้นเขาเป็นห่วงท่านมาก ไม่คิดสักนิดว่าจะเป็นเรื่องโกหก เขาเกรงว่าอาการอาจจะอาการทรุดกว่าเดิมหากมีเรื่องทุกข์ใจ จึงจำใจยอมแต่งงานในที่สุด
พองานแต่งผ่านพ้นไปประมาณหนึ่งปี เขาก็มารู้ว่าจริง ๆ แล้วท่านไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเลย เป็นแค่แผนการที่ทำให้เขายอมแต่งงานเท่านั้น ซึ่งชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น
แต่ถึงจะรู้ความจริง วริศก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว อีกทั้งผู้หญิงที่เขาแต่งด้วยก็ไม่ได้นิสัยแย่ เขากับเธออยู่กันเหมือนเพื่อนที่ต้องทำธุรกิจด้วยกัน แฟร์ ๆ กันทั้งสองฝ่าย หากก็อยู่ด้วยกันได้เพียงสามปี เจ้าหล่อนก็สารภาพว่ามีคนรักอยู่แล้วและต้องการจะกลับไปหาคนที่ตัวเองรัก
ซึ่งเขาก็ยอมอย่างง่ายดาย เพราะไม่ได้รู้สึกรักหรือผูกพันอะไรมาก ทั้งยังรู้สึกยินดีและอวยพรให้เธอมีความสุขกับคนที่รัก หลังจากนั้นเขาก็ได้รับอิสระ ครองตัวเป็นโสดไม่คิดจะมีใครอีกมาจนถึงทุกวันนี้
ทว่าก็ต้องมาปวดหัวตุบ ๆ กับความวุ่นวายที่มารดาหอบมาให้ในเช้านี้ ดูเหมือนว่าเขากำลังจะเผชิญกับความยุ่งยากอีกครั้ง ชีวิตนี้เขาจะหนีไม่พ้นเรื่องการแต่งงานจริงหรือ ?
“เจ แม่ขอโทษจริง ๆ ที่ครั้งนั้นแม่โกหก ลูกก็รู้ว่าแม่เป็นห่วง แม่แค่หวังดีอยากให้ลูกมีครอบครัว มีคนคอยดูแล แม่กับย่าจะได้หายห่วง” คุณพิไลลักษณ์ว่าเสียงอ่อนด้วยยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่ตนเคยโกหกลูก ครั้งนั้นหล่อนไม่ได้ตั้งใจ แต่สถานการณ์มันพาไปและเป็นเพียงความคิดชั่ววูบ หากพอได้เริ่มแล้วก็ยากที่จะถอนตัวกลับจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
“ผมดูแลตัวเองได้ครับ” ในเมื่อผู้เป็นแม่ยอมอ่อนลง วริศเองก็อ่อนลงเช่นกัน ถึงจะไม่กินเส้นกันบ้างในบางเรื่อง แต่อย่างไรเขาก็สัมผัสได้ถึงความหวังดีของท่าน
“แต่แม่ก็ยังไม่สบายใจ แม่อยากเห็นลูกมีครอบครัวนะ ได้ไหมเจ แม่ขอแค่นี้ได้ไหม คุณย่าก็อยากเห็นเจเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนที่ท่านจะไป” หญิงวัยกลางคนมองลูกชายด้วยแววตาขอร้อง
วริศมองสบตากับผู้เป็นแม่ แววตาขอร้องไหวระริกคู่นั้นทำให้ใจเขาอ่อนยวบ คนที่นั่งอยู่ตรงนี้คือแม่ผู้ให้กำเนิด ส่วนอีกคนที่ท่านยกมาอ้างก็คือย่าที่อุ้มชู เลี้ยงดูและให้ท้ายเขาในหลาย ๆ เรื่องจนเติบใหญ่ จากที่เคยหนักแน่นว่าจะไม่แต่งงานอีกก็เริ่มไขว้เขว พลันนั้นสมองก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา...
ก็แค่แต่งงาน อีกสักครั้งมันจะเป็นไรไปวะ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงตอบออกไป
“...ก็ได้ครับ”
คนเป็นแม่ฉีกยิ้มกว้างทันทีด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิดเมื่อได้รับคำตอบที่พอใจ กำลังจะอ้าปากเอ่ยนัดแนะถึงการดูตัวว่าที่เจ้าสาวซึ่งเป็นลูกของเพื่อนสนิท หากก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกไปเมื่อคนเป็นลูกยื่นข้อเสนอของตนเองกลับมาเสียก่อน
“ผมจะยอมแต่งงาน แต่มีข้อแม้ว่าครั้งนี้ผมขอเลือกเจ้าสาวของผมเอง หวังว่าแม่กับย่าจะเข้าใจ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีงานแต่งอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”
พูดออกไปแล้ววริศก็ได้แต่ภาวนาในใจ...
ขอได้ไหม...ขอให้ครั้งนี้เป็นการแต่งงานครั้งสุดท้ายในชีวิต