สวนสวยบนรูฟท็อปหรูถูกปิดโซนไว้ตั้งแต่ช่วงเย็น ร่างบางในชุดเกาะอกสีครีมควงแขนหนุ่มหล่อซึ่งหมายหมั้นปั้นมืออยากให้เป็นเจ้าบ่าวของตัวเองในอนาคต มินตราเลือกมุมที่ดีที่สุด เพราะต้องการดื่มด่ำบรรยากาศมหานครยามค่ำคืนพร้อมความโรแมนติก
หล่อนสั่งไวน์ขาวกับสเต๊กปลากะพงให้ตนเอง ส่วนของนรัณกรเป็นเนื้อเทนเดอร์ลอยคู่กับไวน์แดง ทว่าแท้จริงมินตราไม่รู้หรอกเขาชื่นชอบเมนูใด เท่าที่ลอบสังเกตตอนเดินทางเจรจาธุรกิจด้วยกัน ไฮโซหนุ่มไม่ได้โปรดปรานอะไรเป็นพิเศษ เขาอบอุ่นดูแลหล่อนดีก็จริง แต่บางครั้งกลับมีโลกส่วนตัวสูง เข้าถึงยากกว่าผู้ชายคนไหนที่หล่อนเคยควง
“รสชาติพอใช้ได้ไหมคะ ร้านนี้มินมาทานกับเพื่อนบ่อย ๆ แต่ไม่รู้ถูกใจพี่รัณบ้างหรือเปล่า” มินตราว่าขณะช้อนสายตาพราวระยับมองคู่สนทนา หลังคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการร่วมหุ้นระดับพันล้านจบลง หล่อนสบโอกาสชวนเขาดินเนอร์มื้อค่ำต่อ
เจ้าสัววิชัยพ่อของมินตราต้องการพัฒนา Some rest residence โครงการวิลล่าหรูระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ติดชายหาดทางตอนใต้ของประเทศไทย ทีแรกนรัณกรเข้าไปในฐานะพาร์ทเนอร์ซึ่งร่วมงานกันมาเนิ่นนาน ทว่าด้วยวิสัยทัศน์ทางธุรกิจที่เฉียบขาด ลูกล่อลูกชนแพรวพราว เสือเฒ่าผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนเลยถูกใจหนุ่มรุ่นลูกจนอยากได้มาเป็นลูกเขย
“อาหารอร่อย บรรยากาศเงียบสงบ เพลงเพราะเทสดีสมกับเป็นน้องมิน”
“ชมกันเกินไปแล้ว มาเดตกับคาสโนวาหนุ่มทั้งที มินก็ทำต้องทุกอย่างให้พี่รัณประทับใจสิคะ เกิดพี่เปลี่ยนใจทิ้งมินขึ้นมาทำไงล่ะ”
มินตราจิบไวน์แก้เขิน ทั้งที่คุณสมบัติลูกสาวคนโตของนักธุรกิจใหญ่ที่ติดโพลมูลค่าทรัพย์สินอันดับต้น ๆ ของประเทศไม่มีทางพลาดกับเรื่องง่าย ๆ เช่นเลือกร้านอาหาร หล่อนเติบโตในต่างแดน ถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรม และวิถีชีวิตแบบสาวสังคมชั้นสูง ดังนั้นการทำให้ผู้ชายสักคนประทับใจมันไม่ได้ยากเย็น
“โธ่ พูดอะไรอย่างนั้น ใครจะใจร้ายทิ้งเราได้ลงคอ พี่เคยบอกหรือเปล่าน้องมินเป็นผู้หญิงที่ตาสวยมากเลยนะ” เสียงนุ่มป้อนคำหวานอย่างมีชั้นเชิง แท้จริงดินเนอร์มื้อนี้เป็นเพียงฉากบังหน้า มินตราปรารถนาจะกระชับความสัมพันธ์กับชายหนุ่มที่วิชัยหมายตามากกว่านี้
และพอได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น หญิงสาวก็ประทับใจจนระบายยิ้มหวาน ร่างเพรียวลุกยืนทันทีที่เสียงเพลงสากลสุดคลาสสิกจบ
มินตราก้าวขึ้นไปบนเวทีพร้อมรับไวโอลินมาบรรเลงแทนนักดนตรี เจ้าพ่อหนุ่มมองคุณหนูคนสวยสายตานิ่งงัน เขารู้หล่อนเพียบพร้อมทั้งรูปร่าง หน้าตา และฐานะทางสังคม แต่ไม่คิดว่าใต้ภาพลักษณ์มาดมั่นจะซุกซ่อนอารมณ์สุนทรีย์ไว้
ท่วงทำนองแสนหวานทำไฮโซหนุ่มตกอยู่ในห้วงภวังค์ราวกับต้องมนตร์สะกด ต้องยอมรับว่ามินตรานั้นมีเสน่ห์ แถมยังน่าดึงดูดจนเขาไม่อาจละสายตาไปได้
กว่าจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเข้ามาประชิดกายก็เมื่อสมาร์ตโฟนบนโต๊ะแผดเสียงร้อง
ติ๊ง!
‘แพรคิดถึงคุณนะคะ’
ชายหนุ่มพลิกหน้าจอสี่เหลี่ยมรวดเร็วปานสายฟ้า ตอนนี้เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าดุจแพรรอคอยการตอบกลับนานเท่าไร นรัณกรกังวลเพียงอย่างเดียวคือความสัมพันธ์ลับไม่ควรปรากฏสู่สายตาคนนอก ดังนั้นการที่เธอทำตัวเหมือนเมียตามผัวกลับบ้านมันโคตรน่าหงุดหงิด
“เด็กผู้หญิงคนนั้นที่มินเคยเจอที่บ้านพี่ใช่ไหม” มินตราเอ่ยเสียงเรียบ ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มเคลือบด้วยโทสะร้อนรุ่มหล่อนไม่มีทางรับได้ ถ้าแต่งงานกันไปแล้วไฮโซหนุ่มเลี้ยงดูผู้หญิงอีกคน
มินตราต้องการเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นนรัณกรต้องมีหล่อนแค่คนเดียว
“อืม จำได้ด้วยเหรอ” เจ้าพ่อหนุ่มถามเหมือนหยั่งเชิง
“จำได้สิคะ น้องคนนั้นสวยเหมือนนางฟ้า หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มขนาดนั้น ไม่มีใครลืมได้ง่ายๆ หรอกพี่รัณว่าไหม” หลังพูดจบมือนุ่มจึงลูบไหล่กำยำก่อนหมุนกายกลับมานั่งที่เดิม
“ไม่รู้สิ พี่ไม่ได้ใส่ใจ”
“ดีแล้วค่ะที่พี่รัณไม่ได้ใส่ใจ เพราะมินคงเสียใจมากๆ ถ้าพี่สนใจคนอื่น”
นรัณกรพาตัวเองมายังลานจอดรถคอนโดหรู หลังดินเนอร์มื้อค่ำจบลงภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง มือแกร่งหยิบคีย์การ์ดก่อนจ้ำอ้าวขึ้นไปหาสาวน้อย ทั้งที่ปกติมักแวะมาเฉพาะเวลาต้องการผ่อนคลายเท่านั้น
หากวันนี้ดุจแพรทำชายหนุ่มโมโหแทบบ้า เพราะความงอแงแบบเด็ก ๆ ของเธอ เขาถึงต้องเสียเวลาต่อลองกับมินตรานานกว่าจะได้รับข้อมูลสำคัญ คุณหนูสาวเอาความลับเรื่องการประมูลสัมปทานที่เจ้าพ่อหนุ่มหมายตามาแลกเปลี่ยน ดินเนอร์วันนี้จึงน่าสนใจกว่าเดิมหลายเท่าตัว
“ดุจแพร!” เสียงเข้มเรียกชื่อเธอทันทีเมื่อประตูเปิดออก ร่างบางซึ่งตอนแรกวุ่นวายอยู่กับขนมในครัวรีบหมุนกายเดินกลับมาหานรัณกรด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“คุณรัณ เห็นข้อความ…” เสียงหวานไม่ทันพรั่งพรูความดีใจ มือหนากลับกระชากข้อมือเธอแล้วเดินลิ่ว ๆ ไปทางห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเหวี่ยงสาวน้อยลงบนโซฟา จากนั้นจึงเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ
“ทำไมเธอถึงชอบสร้างปัญหาให้ฉันไม่จบไม่สิ้นฮะดุจแพร อยู่เฉย ๆ แบบเมื่อก่อนไม่ได้หรือไง ฉันไม่ส่งข้อความ ไม่ตอบกลับก็แปลว่าเราไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกัน ทำไมเธอถึงเข้าใจยาก…เมื่อไหร่…เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตสักที”
“เด็กไม่รู้จักโตหมายความว่าไงคะ แพรผิดอะไร แพรแค่คิดถึงคุณ” แววตาตัดพ้อมองหน้านรัณกร เพลิงอารมณ์ไม่แผดเผาชายหนุ่มเพียงฝ่ายเดียว แต่หัวใจดวงน้อยก็เช่นกัน
“เธอกำลังเรียกร้องความสนใจอยู่ คิดว่าฉันดูไม่ออกหรือไง”
“เรียกร้องความสนใจ คุณมองความคิดถึงของแพรมีค่าแค่นั้นเองเหรอคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วถาม เพราะซื่อสัตย์และจริงใจกับตัวเองจึงรู้สึกไม่เป็นธรรมทันทีเมื่อถูกกล่าวหา อีกทั้งไฮโซหนุ่มยังส่งสายตาราวกับความรู้สึกเธอเป็นเรื่องน่าสมเพช
“คนอย่างแพรถ้าบอกคิดถึงแปลว่าคิดถึงจริง ๆ แพรไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น คุณไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ วันนี้แพรส่งข้อความหาคุณก็เพราะอยากให้มาช่วยชิมคุกกี้ ปิดเทอมนี้แพรจะ…”
“เธอตามฉันเพราะไอ้คุกกี้บ้า ๆ นี่น่ะเหรอ” นรัณกรถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาเย็นชามองคุกกี้ในถาดก่อนแสยะยิ้มร้ายกาจ ขาทั้งสองข้างก้าวไปกวาดขนมทั้งหมดลงพื้นอย่างไม่ลังเล
เพล้ง!
“ถ้าไอ้เศษขนมบ้า ๆ นี่เป็นปัญหาก็เลิกทำมันซะ จะได้ไม่ต้องสร้างเรื่องให้ฉันปวดหัว!” นรัณกรตะคอกเสียงดัง ตัดบทสนทนาจนความตั้งมั่นทั้งหมดดูไร้ค่าทันที
“คะ…คุณ” เสียงสั่นเครือหลุดเรียกคนใจร้าย ก่อนถอยเท้าหนีอย่างตกใจ นอกจากคุกกี้ซึ่งคาดหวังให้เขาชื่นชอบ ยังมีดอกไม้ในแจกันที่ตั้งใจจัดเพราะต้องการสร้างวันเวลาดี ๆ ร่วมกัน แต่บัดนี้ทุกอย่างกลับพังพินาศ ใกล้เคียงความสัมพันธ์ที่รอวันสิ้นสุด
ริมฝีปากอมชมพูเม้มแน่น เธอเจ็บจนพูดไม่ออก จะร้องไห้ก็ไม่เหลือแรงแม้กระทั่งเปล่งเสียงสะอื้น ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนเดิมที่รู้จัก ไม่มีอีกแล้วความอบอุ่นที่เคยปลอบโยนในคืนวันอ่อนแอ
ดุจแพรหมุนตัวไปหยิบไม้กวาด โกยขนมและก้มลงหยิบเศษกระจกทีละชิ้น ท่าทีนิ่งเงียบค่อยๆ ทำให้คนเฝ้ามองฟื้นคืนสติ และสำนึกว่าตนไม่ปฏิบัติรุนแรงเกินไป… แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“แพร ฉัน…” ร่างสูงชะงักเมื่อเห็นเลือดสีแดงฉานบนนิ้วเรียว เขาสูดลมหายใจหลังจากนั้นจึงเดินเข้าไปช่วยเหลือ ทว่าหญิงสาวกลับปิดปากเงียบ ไม่พูดไม่จากับเจ้าพ่อหนุ่มแม้แต่คำเดียว เธอเก็บกวาดทุกอย่างและหันหลังทิ้งคนใจร้ายไว้ที่เดิม
“จะไปไหน ยังไม่ได้ทำแผลเลย” นรัณกรตะโกนถามขณะร่างบางห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยความเอาแต่ใจเป็นทุนเดิม ร่างสูงจึงอดไม่ได้ที่จะเดินไปดักหน้า ช้อนตัวเธอกลับมานั่งบนโซฟา
“ปล่อยให้แพรจัดการตัวเองเถอะค่ะ” ดวงตาแสนเศร้าเหลือบมองหน้าตัก เห็นมือคู่หนึ่งที่ฉุดรั้งตนเองผ่านความเลวร้ายราง ๆ ขอบน้ำตากลับร้อนลวกขึ้นฉับพลัน หยาดน้ำตาคลอเบ้าทั้งสองข้าง
ตอนนี้เหนื่อยเกินกว่าจะแบกรับความทุกข์ และเสแสร้งว่ามีความสุขเหมือนครั้งก่อน ๆ เบื่อหน่ายกับการแสดงละคร ดังนั้นเดินมาเงียบ ๆ ย่อมจบปัญหาได้ดีที่สุด
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะดื้อขนาดนี้นะแพร” เสียงเข้มบ่นพร้อมเอี้ยวตัวหยิบทิชชูมาซับเลือด นรัณกรลุกไปคว้ากล่องพยาบาลจากนั้นก็ย่อกายกลับมาดูบาดแผลบนปลายนิ้วเธอ
“ทำไมถึงไม่ระวังตัว เธอโตแล้วนะไม่ใช่เด็ก ๆ จะให้ฉันคอยดูแลทุกเรื่องเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้”
“เพราะคุณต้องไปดูแลคนอื่นใช่ไหมคะ”
“ดุจแพร!”
“ไม่ต้องดุหรอกค่ะ ตอนนี้แพรกำลังพยายามยอมรับความจริงอยู่ ขอเวลาให้แพรหน่อย”
“หึ…พูดเหมือนจะทำได้” นรัณกรกลั้วหัวเราะให้กับคำพูดเพ้อเจ้อ
“ค่ะ”
“งั้นก็ดี”
“แพรขอตัวก่อนนะคะ รู้สึกปวดหัวยังไงไม่รู้” หญิงสาวระบายยิ้มเศร้า ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำใจใช้ผู้ชายร่วมกับคนอื่นได้ลง มันจะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อเธอไม่เคยรักเขาตั้งแต่แรก หรือหมดรักแล้วเท่านั้น
“เดี๋ยว ไม่สบายหรือเปล่า” มือแกร่งดึงข้อมือบาง ก่อนเอื้อมไปวัดอุณหภูมิบนหน้าผากเธอ
“ตัวก็ไม่ได้ร้อนทำไมถึงปวดหัว แล้วกินยาเรียบร้อยหรือยัง”
“ยังค่ะ อาบน้ำเสร็จแพรว่าจะกินยาแล้วนอนเลย ถ้าคุณรัณไม่มีอะไรแล้วฝากปิดประตูแล้วล็อกห้องด้วยนะคะ”
“นี่เธอกล้าไล่ฉัน อย่าบอกนะว่าทำแบบนี้คือกำลังประท้วงเพราะน้อยใจอยู่” คนเอาแต่ใจหงุดหงิดเมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการ
“มันเลยคำว่าน้อยใจมาไกลมากแล้วค่ะ แพรไม่ได้รู้สึกอะไร ก็แค่เหนื่อย…แพรเหนื่อยคุณเข้าใจไหมคะ ตอนนี้แพรอยากพัก แพรไม่อยากนั่งทะเลาะกับคุณแล้ว” ดุจแพรถอนลมหายใจยาว เธออธิบายน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่สามารถทำให้นรัณกรหุบปากได้ทันที
เจ้าพ่อหนุ่มมองตามแผ่นหลังบางที่ละห่างสายตาเรื่อย ๆ ตอนแรกเชื่อมั่นว่าตนเองควบคุมสาวน้อยในปกครองได้อยู่หมัด ทว่านาทีนี้กลับไม่มั่นใจเอาเสียแล้ว คิ้วเข้มขมวดมุ่นเพราะสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของดุจแพรกันแน่ หรือหญิงสาวกำลังตัดใจจากเขาแล้วจริง ๆ