MY MAFIA. 14
วันต่อมา~
“เสร็จแล้ว” ฉันเดินเข้ามาในห้องอาหารของบ้านเขา ก่อนจะเอ่ยบอกเขาที่ลงมานั่งดื่มกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์รอฉันอยู่ที่โต๊ะอาหารอยู่ก่อนแล้ว และที่เขาต้องรอฉันก็เพราะว่าวันนี้เขาจะเข้าไปที่บริษัทของฉันน่ะสิ
ก็ตามที่ตกลงกันไว้นั่นแหละ ที่บอกว่าลูกชายของเพื่อนแม่จะเข้ามาช่วยบริหารบริษัท โดยเขาจะเข้าไปบริหารในฐานะรองประธานบริษัทซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับฉัน มีอำนาจในการสั่งการทุกอย่างในบริษัทโดยไม่ต้องผ่านแม่ของฉันซึ่งเป็นประธานใหญ่ เว้นแต่ว่าเรื่องนั้นมันจะเป็นเรื่องใหญ่มากจริงๆ เพราะเขาเข้ามาในกรณีพิเศษ ตำแหน่งรองประธานก็จริงแต่ก็มีสิทธิ์เทียบเท่ากับแม่ของฉันเลยล่ะ
“ไม่กิน?” เขามองไปที่แซนด์วิชกับกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารแล้วพูดขึ้นนิ่งๆ
“ไม่กินอะ มันสายแล้ว” ฉันพูดพร้อมกับก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ซึ่งมันก็สายแล้วจริงๆ บ้านเขาค่อนข้างอยู่ไกลจากบริษัทของฉันมาก ไหนจะเสียเวลารถติดอีก ถ้าขืนยังใจเย็นอยู่อีกมีหวังเข้าบริษัทสายแน่ๆ
“แล้วแต่” เขาพูดพร้อมกับปิดหนังสือพิมพ์ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็เดินนำฉันออกไปด้วยสีหน้านิ่งๆ ซึ่งฉันก็ได้แต่เดินตามไปเงียบๆ ไม่พูดอะไร
อ้อ! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ไม่ใช่ว่าเราญาติดีกันหรอกนะคะ ฉันยังเกลียดเขาเหมือนเดิม ย้ำว่ายังเกลียด เกลียดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเกลียดมากกว่าเดิมอีก แต่ที่ต้องพูดดีด้วยก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่า ยิ่งฉันต่อต้านมันก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวฉันเหมือนที่ไอ้ทราฟฟิคมันบอก ฉันก็เลยต้องอยู่ให้เป็น...
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ...ฉันต้องการที่จะแก้แค้นเขา ด้วยการเริ่มทำให้เขาตายใจและยอมๆ เขาไปก่อน จริงๆ เมื่อคืนฉันก็เตรียมใจไว้อยู่นะว่าเขาอาจจะทำเรื่องอย่างว่ากับฉันก็ได้ แต่ไม่เลย...กว่าเขาจะกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งฉันก็หลับไปแล้ว แถมกลับเข้ามาตอนไหนฉันยังไม่รู้เลย แต่ก็น่าจะดึกมากๆ เพราะว่ากว่าฉันจะหลับก็โคตรดึกแล้วอะ ก็ถือว่าเมื่อคืนฉันรอดตัวไป
โครก~...คราก~...
ฉันรีบยกมือขึ้นมากุมท้องของตัวเองไว้ทันที เมื่อรู้สึกมันส่งเสียงร้องออกมาเพราะความหิว พลางลอบมองเวกัสที่กำลังขับรถอยู่ไปด้วย ดูว่าเขาจะได้ยินเสียงท้องฉันร้องหรือเปล่า ถ้าได้ยินนี่อายแย่เลย แล้วมันจะมาร้องอะไรตอนนี้เนี่ย ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลยหรือไง
โครก~...คราก~...
ผ่านไปไม่นานท้องฉันมันก็ร้องประท้วงขึ้นมาอีกครั้ง แล้วที่มันร้องแบบนี้ก็ไม่ใช่อะไร ปกติฉันเป็นคนกินข้าวตรงเวลามาก แล้วพอวันไหนไม่ได้ทานมันก็มักจะร้องแบบนี้แหละ แต่วันนี้ฉันไม่คิดว่ามันจะร้องเร็วขนาดนี้
โครก~...คราก~...
ฟิ้ว!~ ตุ้บ!~
“อ๊ะ!?” ฉันร้องขึ้นมาด้วยความตกใจพร้อมกับหันไปมองทางฝั่งคนขับทันที เมื่ออยู่ๆ เวกัสที่นั่งขับรถอยู่เงียบๆ ก็โยนกล่องแซนด์วิชที่เขาเอามาจากไหนก็ไม่รู้มาที่หน้าตักฉัน โดยที่เขาไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้หันหน้ามามองฉันเลยด้วยซ้ำ
“คืออะไร?” ฉันชูกล่องแซนด์วิชขึ้นแล้วถามพร้อมกับมองหน้าเขาอย่างงงๆ
“กินซะ ฉันรำคาญเสียงท้องเธอร้อง”
“นะ นาย...ได้ยินด้วยเหรอ?” ฉันถามออกไปอย่างอายๆ ฉันว่ามันก็ไม่ได้ร้องดังมากนะ หรืออาจจะเป็นเพราะในรถมันเงียบเกินไปนะ...
“ฉันไม่ได้หูหนวก” เขาตอบฉันพร้อมกับมองฉันด้วยสายตาที่แสดงถึงความรำคาญ ก่อนจะหันไปมองถนนตรงหน้าอีกครั้ง
ส่วนฉันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ อายก็อายนะแล้วก็ฟอร์มจัดด้วย ตอนแรกกะจะไม่กิน แต่มันก็หิวอะ แล้วกว่าจะถึงบริษัทก็คงอีกสักพักเลย ฉันก็เลยตัดสินใจแกะแซนด์วิชที่เขาเอามาจากไหนก็ไม่รู้ขึ้นมากินรองท้องไปก่อน
“สวัสดีครับ ผมเวกัสเป็นคู่หมั้นของต้นหอม และจะเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ในตำแหน่งรองประธานฝ่ายบริหารงานทั่วไป ขอบคุณครับ...” เวกัสลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยแนะนำตัวกับคุณแม่ของฉันที่นั่งอยู่หัวโต๊ะของห้องประชุมนี้ ซึ่งเป็นที่นั่งของประธานใหญ่ คุณแม่พยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มแล้วมองเวกัสอย่างเอ็นดู ถึงแม่จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการหมั้นของฉันกับเขา แต่แม่ก็ดูพอใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เขามาช่วยบริหารงาน
จากนั้นเวกัสก็หันหน้าไปรอบๆ เพื่อกวาดตามองผู้ถือหุ้นท่านอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในห้องนี้ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นก็นั่งลงตามเดิม
วันนี้เรามีประชุมบอร์ดบริหารประจำเดือน ก็เลยถือโอกาสแนะนำเวกัสให้ทุกคนรู้จักไปด้วยเลย และพอเวกัสแนะนำตัวเองเรียบร้อยแล้วผู้ถือหุ้นท่านอื่นๆ ก็เริ่มแนะนำตัวเองกับเวกัสบ้าง ซึ่งเขาก็นั่งมองด้วยสายตาเรียบนิ่งๆ ไม่ได้ตอบรับหรือแสดงท่าทางอะไรออกมาเลย
ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทมากๆ เพราะผู้ถือหุ้นที่กำลังแนะนำตัวกับเขาอยู่ตอนนี้นั้น มีแต่ผู้หลักผู้ใหญ่และมีความสำคัญกับบริษัทนี้ทั้งนั้น
“นี่นาย! ช่วยทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยได้มั้ย” ฉันเอนตัวเข้าหาเขาเล็กน้อยก่อนจะกระซิบบอกเขาเสียงเบา ให้ได้ยินกันแค่สองคน
“สั่งฉัน?” เขาหันหน้ามาเลิกคิ้วถามฉันด้วยสีหน้าเรียบๆ อย่างไม่พอใจฉัน
“มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านกำลังแนะนำตัว นายก็ควรมีมารยาทมากกว่านี้หน่อย” ฉันอธิบายให้เขาฟังอย่างใจเย็น ถ้าให้เทียบกันผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในนี้อายุมากกว่าแม่ฉันทั้งนั้นเลย
“หึ! ฉันจำเป็นต้องมีมารยาทกับ ‘ขยะ’ พวกนี้ด้วยเหรอ?” เขาแสยะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหน้าผู้ถือหุ้นที่นั่งอยู่รอบๆ แล้วหันกลับมาถามฉัน ซึ่งตอนที่ถามเขาพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง เลยทำให้คนอื่นๆ หันมามองเขาอย่างไม่เข้าใจทันที
“เวกัส! มันมากไปแล้วนะ” ฉันพูดเสียงเบาเพราะไม่อยากทำให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้ พร้อมกับจ้องเขาอย่างไม่พอใจ ฉันพยายามใจเย็นแล้ว แต่ดูเขาทำตัวสิ ถ้าพูดที่อื่นฉันจะไม่ว่าอะไรเลยนะ นี่เขาจงใจพูดให้คนอื่นได้ยินด้วย
เวกัสไม่สนใจที่ฉันพูดจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะหันไปพูดกับแม่ฉัน...
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับคุณน้า..."
“?”
“แต่ผมรบกวนคุณน้าช่วยเซ็นอนุมัติเอกสารนี้ให้ผมด้วย...ผมหวังว่าคุณน้าจะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ ” พูดจบเขาก็ยิ้มให้คุณแม่ของฉันพร้อมกับหยางที่เป็นลูกน้องคนสนิทของเขา เดินเข้ามาแล้ววางเอกสารบางอย่างกับปากกาลงตรงหน้าแม่ของฉัน ก่อนจะถอยกลับไปยืนที่เดิม
ส่วนฉันก็ได้แต่ขมวดคิ้วมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ว่าเขากำลังจะทำอะไรกันแน่ และไม่ใช่แค่ฉันนะคะที่สงสัย เพราะผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมแห่งนี้ก็มองเขาอย่างไม่เข้าใจอีกด้วย แถมบางท่านยังดูไม่พอใจเอามากๆ ที่เวกัสทำตัวแบบนี้!!
“เวกัส...นี่มันหมายความว่ายังไง น้าไม่เข้าใจ” คุณแม่ก้มเอกสารนั่นคร่าวๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วถามเวกัสอย่างไม่เข้าใจ
“หมายความตามนั้นเลยครับคุณน้า”
“!!?” และเมื่อเห็นสีหน้าของแม่มันยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เข้าไปอีก!
“เซ็นเถอะครับ ถ้ามันผิดพลาดหรือเกิดอะไรขึ้นผมจะเป็นคนรับผิดชอบเอง” เวกัสพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแม่ฉันยังชั่งใจอยู่ว่าจะเซ็นดีมั้ย
“น้า...ขอคิดดูก่อนได้มั้ย?” แม่เม้มปากตัวเองเล็กน้อยแล้วพูดพร้อมกับมองเอกสารในมืออย่างหนักใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ที่กำลังมองแม่กับเวกัสอยู่ด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
“ตามสบายเลยครับ...” พอเวกัสพูดจบแม่ฉันก็หยิบเอกสารนั่นขึ้นพร้อมกับลุกเดินออกไปทันที ทำให้ในห้องนี้เหลือแค่ฉันกับเวกัสแล้วก็ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วเอกสารนั่นมันคืออะไร!?” พอนั่งไปสักพักสถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ คุณวิชัยที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รองจากฉันกับแม่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วถามเสียงดังพร้อมกับจ้องหน้าเวกัสอย่างรอเอาคำตอบ
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่ต้องการจะจัดระเบียบบริษัทใหม่ ผมก็เลยจะกำจัดอะไรที่มันไม่มีประโยชน์หรืออะไรที่มันเป็นแค่ ‘ขยะ’ ทิ้งไปเฉยๆ ครับ” เวกัสไหวไหล่ตัวเองด้วยท่าทีสบายๆ แล้วตอบคุณวิชัยไป
“แกหมายความว่ายังไง!!?” เมื่อเวกัสพูดจบคุณวิชัยก็เอ่ยถามออกมาอีกครั้งพร้อมทั้งกำมือตัวเองแน่นอย่างโกรธจัด และไม่ใช่แค่คุณวิชัยที่มีท่าทีโกรธเวกัส เพราะทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ต่างคนก็ต่างแสดงท่าทีออกมาชัดเจนว่าไม่พอใจคำพูดของเวกัสเอามากๆ
“พวกคุณน่ะก็แก่มากแล้วนะครับ...ผมว่าที่พวกคุณได้ไปจากบริษัทนี้มันก็มากพอที่จะใช้เลี้ยงชีวิตตัวเองและครอบครัวได้แบบสบายๆ ไปจน 'ตาย' แล้วล่ะครับ หึ!” พอเขาพูดจบคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในห้องนี้ก็มีสีหน้าเลิ่กลั่กพร้อมกับมองหน้ากันด้วยท่าทีที่ตื่นตระหนก
ฉันเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันกับสิ่งที่เขาพูด นี่เขาหมายถึงเรื่องอะไร คงไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดหรอกใช่มั้ย
“กะ...แกพูดเรื่องอะไร!?” ไม่นาน เหมือนสติคุณวิชัยจะกลับมาอีกครั้ง ท่านตะคอกถามเวกัสไปอย่างไม่เต็มเสียงเท่าไหร่
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องแถวนี้ ผมไม่มีเวลามาเล่นเกมเด็กๆ แบบนี้กับพวกคุณหรอกนะครับ เวลาของผมมีค่ากว่าพวกคุณเยอะ!” เวกัสพูดพร้อมกับกวาดสายจ้องหน้าผู้ถือหุ้นแต่ละคนด้วยสายตาเรียบนิ่ง ทว่าเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ขนาดฉันที่ไม่ได้โดนเขาจ้องตอนนี้ยังอดขนลุกกับสายตาของเขาไม่ได้เลย
“แก!!!”
“เอาเป็นว่าทุกคนที่อยู่ในนี้คงจะรู้ตัวเองดีว่าทำอะไรเอาไว้บ้าง...และผมหวังว่าพรุ่งนี้ผมจะไม่เห็นทุกคนที่นี่อีก!”
“!!!”
“ถ้าพรุ่งนี้ผมยังเห็นหน้าใครละก็...อย่าหาว่าผมไม่เตือน”