บทที่ 2
ไม่อยากเสี่ยง
เมื่อการเดินโชว์รอบสุดท้ายสิ้นสุดลง นางแบบสาวก็สับเท้าเดินเข้าไปเก็บของในห้องแต่งตัวอย่างเร่งรีบ ด้วยงานวันนี้ล่าช้ากว่ากำหนดไปมากถึงสองชั่วโมง เนื่องจากเจ้าของงานเกิดอุบัติเหตุระหว่างเดินทางมา โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ มีเพียงแค่รถเท่านั้นที่เสียหาย จัดการติดต่อประกันภัยให้มาประเมินความเสียหายเบื้องต้น กว่าจะเดินทางมาถึงงานก็เสียเวลาไปมากแล้ว อีกทั้งยังเป็นเวลาเร่งด่วน การจราจรจึงติดขัดกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ มากเลยทีเดียว
“พี่ป๋อง วิวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” วิลาสินีหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวแบบรีบ ๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วรีบเดินออกมาทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบโต้หรือถามอะไร
หญิงสาวหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมากดโทร. หาชายหนุ่มที่มารอเธอเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ ไม่นานปลายสายก็กดรับ
“คุณคะ ฉันเสร็จงานแล้ว คุณอยู่ตรงไหน”
[โกดัง8] เขาบอกชื่อร้านอาหารร้านหนึ่งที่อยู่ในคอมมูนิตีมอลล์แห่งนี้ วิลาสินีถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอกนิดหนึ่ง อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ได้นั่งรอเฉย ๆ
“โอเคค่ะ กำลังเดินไป” บอกจบเธอก็กดตัดสาย จากนั้นก็รีบเดินมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่เขาบอกเลยทันที
นางแบบสาวเดินมาหยุดอยู่หน้าร้าน กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นทำให้เธอใช้เวลาเพียงไม่นานก็มองเห็น แม้เขาจะนั่งหันหลังอยู่ก็ตาม
“มีโต๊ะหรือยังคะ” พนักงานของร้านเดินเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“มีแล้วค่ะ” เธอยิ้ม แล้วรีบสาวเท้าเดินตรงไปยังโต๊ะที่ทันตแพทย์หนุ่มนั่งหันหลังอยู่
ธัชพลมองหญิงสาวที่เพิ่งนั่งลงฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเรียบนิ่ง พลันเกิดความหงุดหงิดเล็ก ๆ ขึ้นมาในใจเมื่อเห็นชุดที่เธอสวมใส่ เกาะอกสีขาวผ้าบาง ๆ กับกางเกงยีนขาสั้นรัดรูปอวดโคนขาขาวเนียน มันสั้นมาก มองเผิน ๆ แทบไม่ต่างอะไรกับการสวมใส่กางเกงในเพียงแค่ตัวเดียว
“ทำไมไม่แต่งตัวดี ๆ” ชายหนุ่มถามขึ้นเสียงเรียบ ทว่าดวงตากลับฉายแววความหงุดหงิดออกมา วิลาสินีก้มหน้ามองการแต่งตัวของตัวเอง หัวคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยไม่เข้าใจว่าชุดที่เธอใส่มามันไม่ดีตรงไหน หากไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นไปถาม คนที่นั่งตรงข้ามก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “โป๊”
“ตรงไหน ปกติก็แต่งแบบนี้” เธอเถียงกลับทันควัน ปกติเธอก็แต่งสไตล์นี้อยู่แล้ว และตอนเปลี่ยนชุดเธอรีบมาก หยิบชุดไหนได้ก็ใส่ชุดนั้นเพราะไม่อยากให้เขารอนานกว่านี้ อีกอย่างคือเธอหาเสื้อคลุมไม่เจอ คาดว่าเมื่อคืนเธอน่าจะลืมหยิบใส่กระเป๋ามาด้วย
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรต่อ คว้าแก้วเบียร์ตรงหน้าขึ้นมาดื่ม ก่อนจะยกมือเรียกพนักงานให้มารับออเดอร์
“จะสั่งอะไรเพิ่มเหรอ” วิลาสินีถามอย่างสงสัย เท่าที่ดูเบียร์และน้ำแข็งก็ยังเหลืออยู่
“กับข้าว”
“อ๋อ กินที่นี่เลยใช่ไหม”
“อืม” เขาพยักหน้าแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เพียงอึดใจเดียวก็เงยขึ้นมาพูดอีกครั้ง “ดึกแล้ว จะได้ตรงกลับเลย”
“โอเค” นางแบบสาวยิ้มนิด ๆ มือบางหยิบเมนูขึ้นมาเปิดแล้วไล่สายตาดูรายการอาหาร ก่อนจะหันไปสั่งกับพนักงานที่มายืนรอไปสี่ห้าเมนู สั่งเผื่อเขาด้วย เธอเคยร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับเขาอยู่หลายครั้ง จึงพอรู้ว่าเขาชอบกินหรือไม่ชอบกินอะไร
สั่งเสร็จก็พับเมนูส่งคืนพนักงาน โดยไม่ลืมย้ำอีกที “ต้มยำไม่เอากุ้งนะคะ เอาแค่ปูกับปลาค่ะ”
“ครับ” พนักหนักงานหนุ่มรับออเดอร์เสร็จก็เดินออกไป
“วันนี้ซ้อมเดินนานมากเลยอะ ซ้อมตั้งแต่เช้า ได้พักไม่กี่ชั่วโมงเอง มีน้องมาใหม่ ผิดคิวบ่อยมากเพราะน้องตื่นเต้น แต่โชคดีที่พอถึงเวลาต้องเดินจริง ๆ ไม่มีปัญหาอะไร...” หญิงสาวบ่นเรื่องงานให้เขาฟังระหว่างรออาหารที่สั่งไป ซึ่งเขาก็นั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร หากแต่สายตาจดจ้องมาที่เธออย่างให้ความสนใจพลางพยักหน้าเบา ๆ เชิงรับรู้ในเรื่องที่อีกฝ่ายกำลังถ่ายทอดออกมา จึงทำให้เธอไม่รู้สึกว่ากำลังพูดกับลมหรือดิน ฟ้า อากาศ
วิลาสินีบ่นไปจนกระทั่งอาหารถูกยกออกมาเสิร์ฟ เธอหยุดพูดแล้วเริ่มลงมือรับประทานอาหารทันทีเพราะหิวมาก มื้อเที่ยงกินไปนิดเดียวด้วยชุดที่ต้องใส่เดินแบบเป็นชุดรัดรูป หากกินเยอะก็กลัวจะมีหน้าท้อง ส่วนมื้อเย็นนั้นไม่ได้กินเลยเพราะต้องเร่งซ้อมรอบไฟนอล กอปรกับน้องนางแบบที่มาใหม่ยังมีอาการตื่นเต้นเวที จึงต้องซ้อมหลายรอบเพื่อให้น้องมีความคุ้นชิน
“กลับเลยไหม” ธัชพลถามขณะนั่งฟังดนตรีสดหลังจากรับประทานอาหารอิ่มได้สักพักใหญ่ ๆ
นางแบบสาวดึงสายตาออกจากนักร้องบนเวที หันกลับมามองคนที่นั่งตรงข้ามก่อนจะพยักหน้า เพราะเธอเองก็รู้สึกเมื่อยล้าและง่วงขึ้นมานิด ๆ แล้ว
“อืม ดีเหมือนกัน อยากอาบน้ำนอนจะแย่”
ได้ยินแบบนั้นทันตแพทย์หนุ่มก็พยักหน้ารับ แล้วหันไปเรียกพนักงานที่อยู่บริเวณนั้นให้มาคิดเงิน เมื่อจัดการค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตร หยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเธอขึ้นมาถือ ยกมืออีกข้างแตะช่วงเอวของเธอเบา ๆ เพื่อส่งสัญญาณให้เดินออกไปนอกร้าน
“พี่วิว!”
เสียงเรียกแหลมปรี๊ดดังขึ้น ทำให้ขาเรียวที่กำลังจะเดินพ้นจากร้านหยุดชะงัก เจ้าของชื่อหันไปมองตามทิศทางของเสียง ใบหน้าสวยเรียบตึงด้วยรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่บังเอิญเจอหนึ่งในคนที่เธอไม่อยากเจอ
“ไปเถอะค่ะ” วิลาสินีไม่สนใจ ยกมือแตะแขนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ส่งสัญญาณบอกเขาให้เดินต่อ แต่แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่เธอต้องการ เมื่อเจ้าของเสียงแหลมปรี๊ดนั่นรีบสาวเท้าเร็ว ๆ มาดักหน้าเธอเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิ! คนเรียกไม่ได้ยินหรือไง มารยาทน่ะรู้จักไหม”
“แล้วคนที่รู้จักคำว่ามารยาทเขาเดินมาขวางทางคนอื่นแบบนี้หรือไง” นางแบบสาวสวนกลับทันทีตามนิสัยไม่ยอมใคร เธออุตส่าห์พยายามเลี่ยงด้วยไม่อยากปะทะกันให้เกิดอารมณ์เพราะเห็นแก่คนที่เคยขอเอาไว้ แต่ก็เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ให้ความร่วมมือ
“นี่! แล้วใครใช้ให้เดินหนีล่ะ คนเขาเรียกดี ๆ ก็ไม่ยอมหยุด” ภิญญาพัชญ์หรือวาพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ฉันไม่คิดว่าคนอย่างแกจะมาดี” นางแบบสาวยกมือกอดอกมองน้องสาวต่างมารดาด้วยสายตาเหยียดหยัน ไม่มีความเป็นมิตรหรือเอ็นดูแม้แต่นิดเดียว ถึงจะมีสายเลือดเดียวกันถึงครึ่งหนึ่งเลยก็ตาม ด้วยเรื่องราวในอดีตตั้งแต่เล็กจนโตที่มีต่อกันมันค่อนข้างโหดร้ายไปมากสำหรับคนที่พ่อและแม่แท้ ๆ ไม่ต้องการอย่างวิลาสินี “ฉันเตือนไว้ก่อนเลยนะ ถ้าจะมาหาเรื่อง ฉันไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แน่ หวังว่าแกคงไม่ลืมว่าครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันมันเป็นยังไง”
“ที่พี่โดนพ่อไล่ออกจากบ้านน่ะเหรอ” ภิญญาพัชญ์ถามหน้าซื่อตาใส ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับคำขู่ของพี่สาว ออกจะสะใจเสียมากกว่าที่ทำให้เหลือบไรพ้นจากบ้านไป แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมจบเพราะเธอรู้ว่ายายพี่สาวนอกไส้คนนี้ยังได้รับความช่วยเหลือจากคนในบ้านอยู่
วิลาสินีกำมือแน่นด้วยรู้สึกโกรธจัดที่โดนจี้เรื่องที่ยังเป็นปมติดตรึงอยู่ในใจ แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ ห้ามตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปกระชากหัวน้องสาวต่างมารดาอย่างที่เคยทำ
“กลับกันเถอะ” มือหนาของอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เลื่อนมากุมมือเล็กที่กำแน่นแล้วบีบเบา ๆ นางแบบสาวหันไปมองหน้าเขา ครั้นเห็นแววตาห่วงใยที่ถูกส่งทอดมา อารมณ์ที่คุกรุ่นจนแทบจะถึงจุดเดือดก็ค่อย ๆ อ่อนลง ถึงแม้เธอจะไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวของตัวเองให้เขาฟัง แต่เธอคิดว่าเพียงแค่ได้ฟังที่เธอกับภิญญาพัชญ์คุยกัน คงดูออกว่าเธอไม่ลงรอยกับคนในครอบครัวสักเท่าไร
วิลาสินีพยักหน้าให้เขาเบา ๆ แล้วยอมก้าวเดินไปตามแรงจับจูงของคนตัวสูง หากแล้วก็เดินได้ไม่ถึงสองก้าว คนที่ตั้งใจจะหาเรื่องก็วิ่งมาขวางทางไว้อีกครั้ง
“เดี๋ยวสิ! ยังคุยไม่จบเลยนะ”
“มีอะไร” นางแบบสาวหยุดเดินแล้วกลอกตามองอย่างเบื่อหน่าย ตัดสินใจยืนฟังเรื่องที่ยายเด็กนี่ต้องการจะคุยเพื่อให้มันจบ ๆ ไป
ภิญญาพัชญ์หันไปมองเจ้าของร่างสูงที่ยืนข้าง ๆ พี่สาวของตัวเองด้วยรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างมาก เธอเพ่งมองใบหน้าหล่อเหลาพลางนึกว่าเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ทว่าเพียงไม่นานเธอก็ตาโตแล้วฉีกยิ้มกว้าง เมื่อจำได้แล้วว่าเขาเป็นใคร ก่อนจะโพล่งถามออกไปด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจที่ได้เจอเขา
“พี่เทมส์ พี่เทมส์ใช่ไหมคะ”