ผู้มีพระคุณ 2

2157 Words
ผู้มีพระคุณ หลังจากแยกกับเพื่อนที่ห้างสรรพสินค้า วิลาสินีก็ว่างเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนหรือไปทำอะไรต่อ เหลือบมองนาฬิกาหน้ารถก็เห็นว่าเพิ่งบ่ายสอง จะกลับห้องก็คงเงียบเหงา คนที่ทำให้หายเหงาได้ก็ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว พลันนั้นเธอคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่มีบุญคุณกับเธอมากและไม่ได้เจอกันนานแล้ว ริมฝีปากอิ่มที่ถูกเคลือบลิปกลอสสีหวานเม้มเข้าหากันพลางครุ่นคิดอย่างหนักในขณะที่รถกำลังติดไฟแดง นิ้วเรียวเคาะลงพวงมาลัยด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะไปหาดีหรือไม่ เธออยากเข้าไปกราบท่าน อยากไปดูว่าท่านสบายดีไหม หากก็ไม่รู้ว่าถ้าไปแล้วจะเจอ ‘คนอื่น’ ด้วยหรือเปล่า แต่แล้วในจังหวะที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว หญิงสาวก็ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง จากที่จะกลับที่พักก็วนรถและขับตรงไปยังสถานที่ที่เธอเคยคิดว่ามันคือ ‘บ้าน’ ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ผ่านไปแค่สี่สิบนาที รถยนต์สีขาวขนาดสี่ที่นั่งคันหรูก็แล่นมาจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง นางแบบสาวยังนั่งอยู่ในรถ สอดส่องสายตามองเข้าไปในรั้วอัลลอยอย่างสำรวจสักพักใหญ่ ครั้นเห็นว่าในโรงรถมีรถจอดอยู่เพียงไม่กี่คัน เธอจึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยออก ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถทันที วิลาสินีกดกริ่งหน้าบ้าน ยืนรอไม่นานก็มีแม่บ้านสูงวัยเดินออกมา เธอยิ้มกว้างและยกมือไหว้ทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่ออกมาเปิดประตูให้คือแม่นมพรที่เป็นคนเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็ก ๆ “สวัสดีค่ะแม่พร” “หนูวิว!” พอเห็นว่าคนที่มาเป็นใคร แม่บ้านสูงวัยก็รีบกุลีกุจอเปิดประตูให้ แล้วสวมกอดหญิงสาวที่เลี้ยงดูมาอย่างแสนคิดถึง ก่อนจะผละออกมาพูดเสียงสั่นเครือ “ตายแล้ว เป็นไงมาไงคะเนี่ย ไม่กลับมาหาแม่บ้างเลย ติดต่อก็ไม่ได้” เมื่อได้เห็นน้ำตาและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของหญิงมากวัยตรงหน้า นางแบบสาวก็รู้สึกตื้นตัน พลันน้ำตารื้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะในบ้านหลังนี้มีไม่กี่คนจริง ๆ ที่เมตตาเธอ “วิวขอโทษนะคะที่ไม่ได้แวะมาหา แต่วิวสบายดี แล้วแม่พรล่ะคะ สบายดีไหม” หญิงสาวถามพลางยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมานิด ๆ ก่อนจะยิ้มให้คนตรงหน้าที่เธอนับถือเหมือนแม่คนหนึ่ง “แม่สบายดี แต่ก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ตามประสาคนแก่นั่นแหละจ้ะ” “แม่พรอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ วิวเป็นห่วง แล้วคุณย่าล่ะคะ เป็นไงบ้าง ท่านสบายดีไหม” วิลาสินีถามถึงหญิงสูงวัยอีกคนที่มีพระคุณกับเธอมาก หากไม่มีท่าน ก็คงไม่มีเธอที่เป็นอย่างทุกวันนี้ คงจะเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะไม่มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ก็เป็นไปได้ “คุณท่านไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เลยค่ะ ท่านป่วยหนัก ล่าสุดก็เพิ่งออกจากโรง’บาลมาเมื่อสามวันที่แล้วนี่เอง” ข่าวสารที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้หัวใจของหญิงสาวกระตุกวูบ นึกย้อนกลับไปเมื่อคืนนี้ที่เธอบังเอิญเจอภิญญาพัชญ์ หรือนี่จะเป็นธุระที่น้องสาวต่างมารดาของเธอต้องการจะคุยด้วย... “วิวขอไปหาคุณย่าหน่อยได้ไหมคะ” “ได้จ้ะ คุณท่านพักอยู่เรือนไม้หลังบ้านโน่นแน่ะ หนูวิวเดินตามแม่มานะ” บอกจบ แม่บ้านสูงวัยก็เดินนำหญิงสาวเดินผ่านบ้านหลังใหญ่ ลัดเลาะผ่านแมกไม้ที่รายล้อมสองฝั่งระหว่างทางเดินไปยังเรือนไม้หลังเก่าที่อยู่ด้านหลัง วิลาสินีเดินตามพลางมองไปรอบ ๆ อย่างสำรวจ ด้วยตั้งแต่ที่ก้าวออกจากบ้านหลังนี้ไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนเธอก็ไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย พอวันนี้ได้กลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ดูแปลกตาไปเสียหมด ยกเว้นเรือนไม้สองชั้นตรงหน้าที่ดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปเลย แค่ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลาก็เท่านั้น ครั้นเห็นสภาพทรุดโทรมของเรือนไม้ ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองบ้านหลังใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านมาอีกครั้ง ก่อนจะดึงสายตากลับมามองแม่นมพร “บ้านใหญ่ดูเปลี่ยนไปเยอะเลยนะคะ” “จ้ะ เมื่อสองสามปีก่อนคุณผู้หญิงสั่งรีโนเวตใหม่แล้วก็ต่อเติมทั้งหลัง หมดเงินไปหลายสิบล้านเลยค่ะ” “แล้ว...” นางแบบสาวมองเข้าไปยังเรือนไม้อย่างสงสัย รีโนเวตบ้านใหญ่ แล้วทำไมไม่รีโนเวตบ้านหลังนี้ด้วยล่ะ แม่บ้านมากวัยเห็นสายตาของหญิงสาวก็พอจะมองออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ก็อย่างที่รู้นั่นแหละ พวกคุณ ๆ เขาไม่ชอบบ้านหลังนี้สักเท่าไหร่ แค่ไม่รื้อทิ้งก็ถือว่าดีมากแล้ว” “เขาจะรื้อทิ้งเหรอคะ” วิลาสินีถามต่อ แค่ได้ยินคำว่า ‘รื้อทิ้ง’ ก็ทำเอาเธอใจหายวาบ “ใช่จ้ะ แต่เป็นเพราะคุณย่าท่านขอไว้ แล้วบอกจะย้ายออกมาอยู่ เรือนหลังนี้ก็เลยไม่ถูกรื้อออกไป” นางแบบสาวพยักหน้าเข้าใจ นี่คงเป็นสาเหตุที่คุณย่าย้ายมาอยู่เรือนไม้หลังนี้สินะ เพราะแต่ก่อนท่านอาศัยอยู่บนบ้านใหญ่ แต่มักจะมานอนเป็นเพื่อนเธอที่เรือนหลังนี้บ่อย ๆ “คุณย่าอยู่ข้างบนใช่ไหมคะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง อันที่จริงจะรื้อหรือไม่รื้อมันก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าของบ้าน ส่วนเธอนั้นก็แค่ได้มาอาศัยอยู่ที่นี่เพียงช่วงหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ไม่ได้มีความทรงจำดี ๆ กับที่นี่สักเท่าไรหรอก “จ้ะ หนูวิวขึ้นไปได้เลย ท่านอยู่ห้องเดิมของหนูนั่นแหละ เดี๋ยวแม่ไปหาน้ำหาท่ามาให้ แล้วเดี๋ยวตามขึ้นไป” “ขอบคุณค่ะแม่พร” หญิงสาวไหว้แม่นมพร รู้สึกขอบคุณที่ท่านมีเมตตา เอื้อเฟื้อและดูแลเธออย่างดี ไม่ใช่แม่แท้ ๆ แต่กลับดูแลและเอาใจใส่ดีกว่าคนที่เป็นแม่แท้ ๆ ของเธอเสียอีก วิลาสินีถอดรองเท้าไว้ชานบันได ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวขึ้นไปอย่างระมัดระวังด้วยบันไดนี้มีอายุมากกว่าสามสิบปีแล้ว อีกทั้งยังอยู่นอกตัวบ้าน ตากแดด ตากฝนมาไม่รู้ตั้งเท่าไร เธอจึงต้องระวังมากเป็นพิเศษถึงแม้ความเป็นจริงแล้วมันจะยังแข็งแรงอยู่มากก็ตาม ร่างเพรียวระหงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งที่ปิดไม่สนิท พลันหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวในอดีต ตอนที่เธอถูกคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่แท้ ๆ พามาทิ้ง ทำให้เธอต้องมาอาศัยอยู่ที่เรือนไม้หลังนี้ เธอคิดว่าวันนั้นคงเป็นวันที่โหดร้ายที่สุดในชีวิต ทว่ากลับไม่ใช่...เพราะการใช้ชีวิตหลังจากนั้นมันโหดร้ายยิ่งกว่า หากคุณย่าและแม่นมพรไม่เมตตา เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงทุกวันนี้หรือเปล่า หญิงสาวสั่นศีรษะเบา ๆ เพื่อสลัดเรื่องในอดีตที่ทำให้ใจอ่อนแอออกไปจากห้วงความคิด แล้วยกมือดันประตูไม้ให้เปิดออก ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน บนเตียงมีหญิงชรารูปร่างซูบผอมนอนอยู่ วิลาสินีแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาตอนนั้นเมื่อเห็นร่างทรุดโทรมของคนที่เธอรัก เธอค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหา ทรุดตัวนั่งพับเพียบลงพื้นข้างเตียง จากนั้นก็ยื่นมือสั่น ๆ ไปสัมผัสมือที่เหี่ยวย่นตามวัยเบา ๆ ไม่กล้าลงน้ำหนักมากนัก “หือ...ใครน่ะ” “วิวเองค่ะคุณย่า” นางแบบสาวบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น หากแล้วสุดท้ายเธอก็ห้ามตัวเองไม่ได้ น้ำตารินไหลอาบสองแก้ม แล้วพูดต่อด้วยเสียงสั่นเครือ “วิว...มาเยี่ยม” ผู้สูงวัยค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก มองหน้าหลานสาวที่ไม่ได้เจอนานก่อนจะผลิยิ้มออกมา ยื่นมือเหี่ยวย่นออกไปเช็ดน้ำตาออกจากสองแก้มให้อย่างอ่อนโยน วิลาสินียกมือจับมือคู่นั้นแนบไว้กับแก้มของตัวเอง เงยหน้าขึ้นสบตาซึมซับความอ่อนโยนจากแววตาคู่นั้นที่เฝ้ามองเธอมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ท่านก็ยังเป็นอย่างนั้น “สบายดีไหมลูก” เสียงแหบโหยเอ่ยถาม เลื่อนมือขึ้นมาลูบศีรษะ “วิวสบายดีค่ะคุณย่า ไม่ต้องเป็นห่วงวิว แล้วคุณย่าล่ะคะ เจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่า” คุณย่ากรุณายิ้ม ไม่ตอบคำถามของหลานสาว ด้วยไม่อยากพูดให้คนอายุน้อยรู้สึกเป็นห่วง “กินข้าวมาหรือยัง เดี๋ยวย่าให้พรเตรียมสำรับให้” “วิวกินมาแล้วค่ะ” เธอตอบ แล้วย้อนกลับไปถามเรื่องสุขภาพของท่านอีกครั้ง “แม่พรบอกวิวว่าคุณย่าเข้าโรงพยาบาล คุณหมอว่ายังไงบ้างคะ” “ไม่ได้เป็นไรมากหรอกลูก ก็โรคคนแก่ทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ” หญิงสาวไม่เชื่อคำตอบของคนเป็นย่า เธอรู้ว่าที่ท่านตอบแบบนี้เพราะแค่อยากให้เธอสบายใจ หากยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ ผู้สูงวัยก็ถามขึ้นมาก่อน “ได้เจอพ่อเขาบ้างไหมลูก” คนถูกถามถึงกับนิ่งไปเมื่อได้ยินคำว่า ‘พ่อ’ แววตาหม่นเศร้าฉายออกมาจนกรุณารู้สึกได้ นางยื่นมือออกไปลูบศีรษะของหลานสาวอีกครั้ง พลางเอ่ยขึ้น “ยังไงเขาก็เป็นพ่อวิวนะลูก พ่อเขาแสดงออกไม่เก่ง แต่ย่าเชื่อว่าลึก ๆ เขาก็รักวิวนะ” รัก...แต่ทิ้งขว้าง ? รัก...แต่ไม่เคยมาดูแล ? เป็นความรักประสาอะไรกัน “ยังไม่ได้เจอเลยค่ะ” วิลาสินีข่มความขมขื่นเอาไว้ในใจ แล้วยิ้มตอบเพื่อให้คนสูงวัยสบายใจ เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพ่อรักเธอจริงอย่างที่คุณย่าเพียรบอกเธอหรือเปล่า “น่าเสียดาย วันนี้ไม่อยู่บ้านเสียด้วยสิ” กรุณาว่าอย่างรู้สึกเสียดาย ไม่อย่างนั้นพ่อกับลูกคงได้เจอกัน “พ่อกับพี่ชายเราบินไปติดต่องานที่ฮ่องกงเมื่ออาทิตย์ก่อน น่าจะกลับมาวันนี้แหละ แต่ไม่รู้จะมาถึงบ้านเมื่อไหร่” ดีแล้ว...หญิงสาวคิดในใจ ทั้งยังภาวนาต่อว่าอย่ากลับมาในตอนที่เธอยังอยู่ที่นี่ หากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘พ่อ’ อยู่บ้านในวันนี้ เธอก็คงไม่เลือกที่จะเดินเข้ามา เพราะเธอยังจำวันนั้นได้ดี...วันที่เธอถูกพ่อแท้ ๆ ไล่ออกจากบ้าน ส่วน ‘พี่ชาย’ ที่คุณย่าพูดถึงก็คือภวัตหรือเวพี่ชายต่างมารดาของเธอนั่นเอง จากนั้นหัวข้อสนทนาของสองย่าหลานก็เปลี่ยนไป ถามไถ่กันถึงสารทุกข์สุกดิบและความเป็นอยู่ของอีกฝ่าย แม้วิลาสินีจะออกจากบ้านหลังนี้ไปมากกว่าสิบปี ทว่ายังติดต่อกับผู้สูงวัยคนนี้อยู่เสมอ ...ตอนนั้นเธออายุเพียงแค่สิบแปดปี เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาหมาด ๆ หลังจากอวดผลการเรียนระดับดีเยี่ยมให้คนเป็นย่าได้รับรู้ และกำลังจะเดินเอาให้บิดาดูที่ห้องทำงานบ้านใหญ่ตามที่คุณย่าบอก หากแล้วเดินยังไม่ทันถึงจุดหมาย ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เมื่อระหว่างทางเจอรัมภาภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของบิดาที่เกลียดเธอเข้าไส้ เพียงแค่เห็นว่าเธอกำลังจะเดินขึ้นไปบนชั้นสอง รัมภาก็รีบเดินปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อจนเธอล้มกระแทกพื้นอย่างแรง เธอรู้สึกเจ็บร้าวจนน้ำตาเล็ด ทว่ากลับไม่ได้รับความเห็นใจใด ๆ ทั้งนั้น อีกทั้งยังด่ากราดด้วยถ้อยคำรุนแรงที่ทำให้เธอต้องกำหมัดแน่น แม้จะเคยโดนด่าแบบนี้บ่อย ๆ แต่เธอก็ไม่เคยชิน หากเธอก็อดทนมาโดยตลอด ด้วยเจียมตัวและรู้สถานะของตัวเองดี เธอเป็นแค่ผู้อาศัย ที่มาอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านหลังนี้โดยที่เจ้าของบ้านไม่มีใครต้องการ แต่แล้วก็มีคำคำหนึ่งที่ดังออกมาจากปากของคนที่อายุมากกว่า คำนั้นมันกระแทกใจเธออย่างรุนแรง และทำให้เธอหมดความอดทน ‘ลูกอีกะหรี่!’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD