บทที่ 8 “จู่ๆก็เป็นคนดี”

1700 Words
หลายชั่วโมงต่อมา... @เชียงใหม่ Soda part เฮ้อ! ถึงสักที บรรยากาศดีมากสดชื่นมากแล้วก็หนาวมากด้วย ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่ม รถบัสถึงจุดนัดพบตามที่อาจารย์บอกไว้ตอนหนึ่งทุ่มพอดี พวกเราทุกคนกำลังขนของลงจากรถที่นั่งมาลงไปกองไว้บนพื้นเพื่อเปลี่ยนเป็นนั่งรถกระบะสำหรับขึ้นดอยแทน เนื่องจากพื้นที่ที่พวกเราจะไปเป็นพื้นที่ทุรกันดาร ถนนแคบและไม่เรียบเหมือนถนนในเมืองไม่เหมาะกับรถคันใหญ่จะเข้าไป เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้ก็ต้องขนของลงแล้วนั่งรอรถกระบะที่อาจารย์ได้ประสานงานไว้มารับพวกเราทุกคน ฉันที่ขนของตัวเองลงจากรถบัสเสร็จแล้วจึงนั่งรอบนกระเป๋าลากของตัวเองแทน ส่วนไอ้พี่รหัสที่หลับตลอดทางอย่างพี่พระพายตอนนี้กำลังยืนพูดคุยกับอาจารย์ ซึ่งอยู่ห่างจากที่ฉันอยู่ประมาณสิบก้าวได้ ฉันคิดว่าอาจารย์น่าจะมอบหมายงานให้เขารับผิดชอบแน่นอนเพราะเขาเป็นพี่วินัยของคณะด้วย และคนอื่นๆ ที่โดนเรียกไปคุยกับอาจารย์ก็เหมือนจะเป็นนักศึกษาที่มีตำแหน่งในคณะของตนเองทั้งนั้นเหมือนกัน ฉันที่ไม่อยากค้างสายตาไว้ที่แผ่นหลังของพี่พระพายไว้นานกว่านี้ จึงเลือกที่จะละสายตาแล้วหันมาสนใจโทรศัพท์ในมือตัวเองแทน แต่... ฉันลืมไปว่าที่นี่มันไม่มีคลื่นโทรศัพท์แม้แต่ขีดเดียว... เฮ้อ~ ฉันก็ลืมไปว่ามาทำค่ายบนดอยมันไม่ได้เหมือนไปทำค่ายอย่างที่อื่น "นั่งถอนหายใจเล่นอยู่นั่น รีบเปิดกระเป๋าเตรียมไฟฉายเร็ว" ฉันเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มๆ ติดใส่อารมณ์ดังอยู่ตรงหน้าของฉัน ก่อนจะพบว่าคนที่พูดเมื่อกี้ก็คือพี่รหัสของฉันนั้นเอง เขามาบอกฉันให้หยิบไฟฉายออกจากกระเป๋า ขณะที่ตัวเขากำลังแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ไว้บนหลังและกำลังจะก้มหยิบกระเป๋าสะพายของฉันไปด้วย ฉันที่เห็นแบบนั้นก็เลยรีบยื่นมือแย่งกระเป๋าตัวเองกลับมาก่อน หมับ! "พี่จะเอากระเป๋าโซไปไหน" "เอาไปไหนล่ะ จะช่วยถือให้ไง เธอดูกระเป๋าตัวเองตอนนี้เถอะว่ามีกี่ใบ ถือไหวหรือไง" พอพี่พระพายว่าอย่างนั้นจบ ฉันก็ปรายตามองไปที่กระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่รอบๆ ตัวเองทันที มันก็ไม่เท่าไหร่นี่ แค่พกกระเป๋ามาสี่ใบเองมันแปลกตรงไหนอะ เป็นผู้หญิงมันก็ของเยอะเป็นธรรมดานี่ "มีสี่ใบและโซก็ถือไหวด้วย" ฉันตอบเสียงแข็งพร้อมกับดึงกระเป๋าของตัวเองกลับมาถือไว้ "ไหวยังไงไหนบอกฉันมาสิ กระเป๋าลากแล้วหนึ่งใบ เป้บนหลังหนึ่งใบ สะพายข้างอีกสองใบ เธอแบกมันทั้งหมดนั้นไม่คิดว่าจะหลังหักแขนหักก่อนหรือไง" ฉันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายทันทีที่ต้องมานั่งฟังพี่รหัสตัวเองบ่นเป็นคนแก่แบบนี้ นี่เขาไม่รู้หรือไงว่าการเป็นเด็กคณะวิศวะมันต้องถึกทนแค่ไหน จะมาสำออยเป็นคุณหนูไม่ได้ แล้วอย่างกระเป๋าสี่ใบที่ฉันเอามามันก็ไม่ได้หนักมากอะไรขนาดนั้นเถอะ "ถามจริงพี่ไม่เคยได้ยินเหรอ เป็นเด็กคณะวิศวะต้องอึดต้องถึกต้องทน ห้ามลาห้ามป่วยห้ามตายอะ" "งี่เง่าทั้งนั้น เธอเป็นผู้หญิงจะต้องถึกทนอะไรมากมาย เอามานี้ฉันถือเองแล้วก็หยิบไฟฉายออกมาด้วยเดี๋ยวรถมารับจะขึ้นไปส่งได้แค่ครึ่งทางอีกครึ่งทางต้องลุยไปเองเพราะมันดึกแล้ว" พี่พระพายตอบกลับด้วยท่าทางที่ไม่ได้เห็นด้วยกับฉันเท่าไหร่นักกับประโยคที่ฉันพูดไปเมื่อกี้แถมยังแย่งกระเป๋าสองใบในมือของฉันไปคล้องคอของตัวเองอีกด้วย ก่อนจะเตรียมหมุนตัวเดินไปหากลุ่มเพื่อนๆ ที่กำลังตั้งแถวอยู่เบื้องหน้า แต่ฉันยังไม่ได้หยิบไฟฉายจากกระเป๋าที่พี่พระพายเอาไปคล้องคอเลยก็เลยต้องคว้าข้อมือใหญ่ของเขาไว้ หมับ! "เดี๋ยวก่อน ไฟฉายอยู่ในกระเป๋าใบนั้นอะ" ฉันบอกพร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางกระเป๋าที่ถูกพี่พระพายคล้องคอไว้ "ก็เดินมาหยิบดิ" มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไหมล่ะ นี่ก็บอกให้รู้ไงจะได้หยุดเดิน ไม่เห็นต้องหันมาใส่อารมณ์เลย และเพราะโดนไอ้พี่รหัสของตัวเองสั่งเสียงเข้มแบบนั้น ฉันก็เลยเผลอทำหน้ามู่ทู่กลับไป พี่พระพายเห็นเขาเลยเลิกคิ้วขึ้นจ้องมองฉันเชิงถามว่าจะยืนเซ่อทำไมอีกก่อนจะยืนนิ่งรอฉันขยับตัวเข้าไปหาเขาขณะที่สายตาก็จับจ้องตรงมาที่ฉันนิ่ง ทำเอาฉันที่ยืนทำหน้ามู่ทู่เมื่อกี้นี้ถึงกับเกร็งขยับตัวไม่ถูกเลย แต่ด้วยความที่ไม่อยากแสดงออกว่าฉันกำลังเกร็งอยู่ก็เลยทำหน้าเรียบเฉยเข้าไว้ ก่อนที่จะใช้มือเปิดกระเป๋าที่อยู่ระดับหน้าท้องของพี่พระพายด้วยท่าทางประหม่าเบาๆ ก็จะไม่ให้ประหม่าได้ไงล่ะ พี่รหัสตัวสูงอย่างกับเสาไฟฟ้าเล่นยืนจ้องหน้านิ่งขนาดนี้ ไม่ประหม่าสิแปลก ไหนจะระยะห่างที่ใกล้มากขนาดนี้อีกด้วย ทำเอาฉันแทบกลั้นหายใจเลยทีเดียว "ได้แล้ว" หลังจากหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋าได้แล้ว ฉันก็บอกพี่พระพายพร้อมโชว์ให้พี่เขาดูก่อนจะสบตากับนัยน์ตาราบเรียบที่ยังคงจับจ้องใบหน้าของฉันเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนไว้ในแววตาคู่นั้น ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกว่าสายตานั้นที่ใช้มองฉันเมื่อกี้มันหมายความว่าอะไร คิดอะไรอยู่ หรือกำลังนึกถึงเรื่องอะไรอยู่ถึงได้มองฉันแบบนั้น แต่พอพี่พระพายละสายตาจากใบหน้าของฉันแล้ว เขาก็ตอบเสียงอืมในลำคอออกมาเบาๆ "อืม ตอนนี้มันมืดแล้วห้ามออกไปจากแถวเด็ดขาด ถ้าจะไปไหนให้บอกฉันไว้เพราะตอนนี้โทรศัพท์ทุกเครื่องใช้ไม่ได้ อีกประมาณสิบนาทีเดี๋ยวรถก็มารับ" คำพูดยาวเหยียดถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของพี่พระพาย ฉันที่จู่ๆ ก็ไม่กล้าสบตากับเขาขึ้นมาก็ได้แต่ก้มหน้าแล้วพยักหน้าตอบรับเบาๆ ให้ตายเถอะ ฉันไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ โหมดมันเปลี่ยนไปแบบนี้ จากที่เป็นคนรอกินหัวพี่พระพายอยู่ดีๆ กลายเป็นว่าตอนนี้ฉันเหมือนถูกเขาควบคุมไว้เลย โดยเฉพาะไอ้ตอนที่นั่งอยู่บนรถหลายชั่วโมงก่อน ฉันพยายามที่จะไม่เข้าใกล้พี่พระพายเพราะไม่อยากถูกจับตามองจากสาวๆ ที่แอบปลื้มเขา แต่เขากลับพยายามเข้าใกล้ฉันตลอดเวลาเลย ทั้งเรื่องเทคแคร์ต่างๆ ตอนอยู่บนรถและตอนแวะปั๊มน้ำมันเพื่อเข้าห้องน้ำ มันมีจังหวะหนึ่งตอนรถแวะปั๊มพี่พระพายไปยืนรอฉันอยู่หน้าทางเข้าห้องน้ำเพราะฉันเป็นคนลงจากรถเป็นคนสุดท้ายและเข้าห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย เขาเลือกที่จะไปยืนรอฉันเขาทำเหมือนกลัวว่าฉันจะถูกลืมไว้ที่ปั๊มน้ำมัน แล้วไหนจะตอนที่นั่งรถอีก เขาเป็นคนบอกฉันว่าอย่าให้เห็นว่าเอาหัวไปวางไว้บนไหล่ของเขา แต่พอเขาเห็นว่าฉันหลับเขากลับเป็นคนที่เอาหัวของฉันไปวางไว้บนไหล่ของเขาซะเอง เหอะ คำพูดกับการกระทำของเขามันส่วนทางยิ่งกว่าอะไร ที่สำคัญเขาทำแบบนั้นไปทำไม ตั้งแต่ไอ้คำพูดแปลกๆ ตอนเมาแล้วนะ... "สติยัยโซ แกตั้งสติก่อน" "พึมพำอะไรของเธอ ไปขึ้นรถได้แล้วรถมารับแล้ว" ฉันไม่รู้ว่าพี่พระพายเดินกลับมาหาตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มๆ ของเขาบอกว่ารถมารับแล้ว ฉันก็เลยเงยหน้าขึ้นมองผ่านไปยังด้านหลังของพี่พระพายก็เห็นว่าเพื่อนๆ กำลังทยอยเดินไปขึ้นหลังกระบะรถแล้ว ฉันก็เลยเรียกสายตากลับมาสบตากับคนตัวสูงตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะตอบว่า... "เปล่าสักหน่อย" "อืม" พี่พระพายตอบกลับมาแค่นั้นก็ยืนมองฉันเฉยๆ ฉันที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจะต้องรีบเดินไปขึ้นรถจึงลากกระเป๋าของตัวเองไปขึ้นรถคันสุดท้ายที่ยังมีที่ว่างหลงเหลืออยู่ ตามมาด้วยพี่พระพายที่เดินตามหลังฉันมาอีกคน เมื่อทุกคนขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว รถกระบะยกสูงก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวมุ่งสู่ดอยที่เป็นเป้าหมายปลายทาง... และแน่นอนว่าระหว่างทางขึ้นดอย เส้นทางมืดมิดไม่มีไฟข้างทางให้ความสว่างและสองข้างทางที่เป็นป่าทึบไหนจะพื้นถนนที่ขรุขระทำให้รถโยกไปมาอย่างกับนั่งอยู่บนหลังม้า ทำให้ร่างกายของฉันเด้งตัวขึ้นจากพื้นรถจนอวัยวะภายในมันจะหลอมรวมเป็นอันเดียวกัน แต่ที่ทำให้ฉันอยากกรี๊ดมากที่สุดก็คือจังหวะที่... หมับ! พี่พระพายเห็นร่างกายฉันเด้งขึ้นจากพื้นรถสูงไปหน่อยเขาก็เลยคว้าเอวของฉันแล้วดึงไปนั่งซ้อนบนตักของเขาแทน ทำให้ฉันที่ถูกล็อกตัวไว้บนตักของพี่รหัสตัวเองถึงกับเบิกตาโพลงเลยทีเดียว ก่อนจะหันขวับไปหาเจ้าของตักที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่ด้านหลังทันที "ถ้าไม่อยากตกจากรถก็นั่งเงียบๆ"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD