หลายวันต่อมา...
วันสุดท้ายของการเข้าค่าย...
Soda part...
หลังจากที่เมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของการช่วยฟื้นฟูโรงเรียนและหมู่บ้านให้กับชาวบ้านที่นี่ วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายก่อนที่พวกเราทุกคนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า...
เมื่อวานฉันและนักศึกษาทุกคนช่วยกันบูรณะหมู่บ้านให้เสร็จตามแผนของอาจารย์ทศพลผู้ก่อตั้งโครงการนี้ขึ้นมาไปหลายอย่างมากไม่ว่าจะเป็นช่วยซ่อมแซมวัด ทำความสะอาดวัด ซ่อมแซมบ้านให้ชาวบ้านเล็กๆ น้อยๆ ซ่อมแซมฝายน้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย
พวกเราทุกคนช่วยกันลงมือลงแรงและลงใจทำทุกอย่างกันเต็มที่ จนสุดท้ายพวกเราก็บรรลุความสำเร็จที่คาดหวังไว้ทุกรายการ และสิ่งตอบแทนที่พวกเราได้รับจากชาวบ้านที่นี่ก็คือรอยยิ้มของชาวบ้านที่นี่ทุกคน
"เก็บของเสร็จหรือยัง รถมารอรับแล้ว" ฉันที่กำลังหยิบเป้ขึ้นมาแบกไว้บนหลัง ชะงักมือหันไปหาเจ้าของเสียงก่อนหน้านี้ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไปว่า
"เสร็จแล้ว"
"เค เอากระเป๋าสองใบนั้นมาให้ฉันเหมือนเดิม" พี่พระพายชี้ไปที่กระเป๋าสองใบที่วันเดินทางมาที่นี่เขาเป็นคนแบกมันให้ฉันให้ส่งไปให้เขา แต่ฉันคิดว่ารอบนี้ไม่ต้องเดินทางไกลแบบรอบที่แล้วก็เลยจะแบกมันไปเองทั้งหมด
"ไม่เป็นไรค่ะ รอบนี้แค่แบกไปขึ้นรถตรงนั้นเอง"
"ดื้อว่ะ กระเป๋าหนักขนาดนั้นจะแบกทำไมให้เหนื่อย มีแฟนยืนรอช่วยที่นี่ทั้งคนก็ใช้งานให้คุ้มสิ" เดี๋ยวนะ เขานี่มันขี้ตู่ชะมัด ฉันไปตกลงเป็นแฟนกันตอนไหนเนี่ย
"พี่อย่ามาเนียน โซไม่ได้เป็นแฟนพี่สักหน่อย"
"อ่าให้ตายเถอะ โทษทีฉันลืมตัวไปนะ แต่วันนี้อาจจะยังไม่เป็น แต่อีกสองสามวันอาจจะได้เป็นก็ได้นะ" พอพี่พระพายพูดจบเขาก็ยิ้มกริ่มเชิงเจ้าเล่ห์ส่งมาให้ฉัน ฉันที่เห็นรอยยิ้มนั้นของเขาแล้วก็ได้แต่กลอกตามองบน
เอาจริงๆ เลยนะ ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนที่ไตรคุณทำท่าจะเข้าหาฉัน พี่รหัสตัวดีของฉันเขาก็ไม่ปล่อยให้ฉันคลาดสายตาอีกเลย ตามติดเป็นเงา มีฉันอยู่ตรงไหนก็จะมีเขาอยู่ที่นั่น อย่างทาสีวันนั้นก็เหมือนกันฉันเดินจะไปทาสีตรงบริเวณอื่นเขาก็เดินตามติดไปทาสีอยู่ใกล้ๆ ฉัน
ทาสีอย่างเดียวฉันพอทน แต่เล่นพูดจาหว่านล้อมให้ฉันติดกับดักเขาด้วยนี่สิ...
แต่ที่หนักสุดก็คงจะเป็นวันนี้ที่พูดคำว่าแฟนออกมานี่แหละ
"พี่หยุดเพ้อฝันได้แล้ว ส่วนกระเป๋าสองใบนี้...เอาไป" ฉันว่าจบก็ส่งกระเป๋าให้พี่พระพายรับไปให้จบๆ อยากช่วยนักก็เอาไป ก่อนที่จะเดินผ่านร่างสูงของเขาไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ที่หน้าหมู่บ้าน
"ผมต้องขอบคุณคณะอาจารย์และนักศึกษาทุกคนมากๆ เลยนะครับที่สละเวลามาช่วยพวกเราทุกคนที่นี่ วันนี้หลายอย่างในหมู่บ้านของเรากลับมามีสีสันอีกครั้ง ชาวบ้านและเด็กๆ ที่นี่ทุกคนเขาดีใจและชอบมากเลยครับ"
ผู้ใหญ่คำแปงที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเรารวมกับกลุ่มชาวบ้านกล่าวขอบคุณทั้งรอยยิ้ม ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขมาก ฉันที่เห็นแบบนั้นก็พลอยมีความสุขไปด้วย เพราะพอมองเลยไปด้านหลังที่เป็นหมู่บ้านแล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่ผู้ใหญ่ว่า
"พวกพี่จะกลับมาอีกไหมครับ" หลังจากที่ผู้ใหญ่พูดจบก็มีเด็กผู้ชายอายุน่าจะประมาณเก้าขวบ เป็นเด็กนักเรียนที่พี่พระพายได้เข้าไปช่วยซ่อมเครื่องเล่นให้กลับมาเล่นได้อีกครั้งและเขาดูท่าจะชอบพี่พระพายมากถึงได้วิ่งเข้ามาหาพี่พระพายที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันแบบนี้
"ถ้ามีโอกาสพี่จะกลับมาหาอีก" คนตัวสูงข้างๆ ฉันก้มหน้าพูดกับเด็กน้อยข้างล่างพร้อมวางฝ่ามือลงบนหัวน้องอย่างนึกเอ็นดู ให้ตายเถอะฉันไม่ค่อยอยากเห็นบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เลย
ฉันชอบมาเข้าค่ายนะ แต่ไม่ชอบบรรยากาศตอนกลับแบบนี้เลย มันมีความสุขที่ได้มามอบความสุขให้แต่ภายใต้ความสุขก็ยังมีความเศร้าที่ต้องลาจากกันปนอยู่ด้วย
"พี่มาอีกนะ ผมจะรอ"
"เค แต่ที่แน่ๆ พี่กลับไปถึงกรุงเทพแล้ว พี่จะสั่งของเล่นและอุปกรณ์กีฬามาให้นายและเพื่อนๆ เล่น ดีไหม"
"เย้!! ดีมากเลยครับ" ทันทีที่น้องเขาได้ยินว่าพี่พระพายจะส่งของเล่นและอุปกรณ์กีฬามาให้ น้องเขาก็กระโดดดีใจใหญ่เลย รวมถึงน้องๆ คนอื่นๆ ที่ยืนดูอยู่ข้างหลังก็พากันยิ้มดีใจไปด้วย
"อืม รอรับละกัน"
"ครับ"
"ผมฝากผู้ใหญ่รับเรื่องด้วยนะครับ ผมกลับไปถึงกรุงเทพแล้วจะหารือกับเพื่อนหาทุนให้น้องๆ ที่นี่เรียนฟรีให้ด้วยนะครับ"
"จริงเหรอครับ ผมขอบคุณมากๆ นะครับ" ผู้ใหญ่คำแปงตาโตลุกวาวด้วยความดีใจอย่างตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินพี่พระพายบอกว่าจะหาทุนให้น้องๆ ที่นี่เรียนฟรี ก่อนกล่าวขอบคุณพี่พระพายด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างเปิดเผย
"หนุ่มคนนี้เขาไม่ธรรมดาครับผู้ใหญ่ ตัวตึงของมหาวิทยาลัยเลยละครับ เป็นบุญของเด็กแล้วละครับที่รอบนี้เขามาเข้าค่ายด้วย" อาจารย์ทศพลเห็นผู้ใหญ่บ้านดีใจจนน้ำตาคลอก็กล่าวด้วยรอยยิ้มดีใจกับผู้ใหญ่บ้านไปด้วย
ซึ่งการที่พี่พระพายทำแบบนี้เรียกสายตาของฉันให้หันไปมองเขาด้วยสายตาชื่นชมได้ดีเลยละ แถมฉันยังรู้สึกใจฟูกับความใจดีของเขาอีกด้วย ถึงแม้ว่าบุคลิกภายนอกที่เวลาอยู่ในหน้าที่พี่ว้ากเขาจะดูนิ่ง ดูดุแต่เอาจริงๆ เขาใจดีมากเลยนะ โดยเฉพาะกับฉัน ฉันจำได้ว่าตอนอยู่ปีหนึ่งเวลาเข้าห้องเชียร์แล้วโดนพี่นักรบตะคอกใส่หน้าเรื่องที่ฉันดื้อไม่ยอมทำตามรุ่นพี่ มีพี่พระพายนี่แหละที่เข้ามาช่วยฉันไว้
วันนั้นเขาดันตัวพี่นักรบให้ออกห่างจากฉัน แล้วแทรกตัวมายืนบังหน้าพี่นักรบสีหน้านิ่งเรียบแต่กลับทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงรังสีความอบอุ่นจากตัวเขาได้ดีเลยละ ตอนนั้นเขาซ่อนความแข็งกระด้างเอาไว้ ยืนบังพี่นักรบอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายฉันก็ร้องไห้ออกมาเพราะทนแรงกดดันที่ได้รับมาก่อนหน้านั้นไม่ไหว
พี่ไคโรเห็นฉันร้องไห้ก็เตรียมจะเดินเข้ามาหา แต่พี่พระพายยกมือห้ามไว้ ก่อนที่จะพาฉันออกไปจากห้องเชียร์ในที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นฉันก็เพิ่งรู้ว่าเขาคือพี่รหัสฉันตอนเปิดสายรหัส ฉันดีใจมากแต่ฉันก็ดีใจได้ไม่นานหรอก เพราะหลังจากวันเปิดสายรหัสฉันก็มารู้ว่าพี่รหัสตัวเองคือตัวพ่อคาสโนว่า นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็เริ่มไม่ค่อยชอบพี่รหัสตัวเอง
จนกระทั่งวันนี้...ที่ฉันได้เห็นมุมอบอุ่นนี้ของเขาอีกครั้ง...
"หน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้แถมยังมีเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อีก ขอให้ได้รับผลตอบแทนดีๆเข้าไปในชีวิตนะครับ"
"สาธุครับผู้ใหญ่" พี่พระพายยกมือรับพรจากผู้ใหญ่บ้าน แต่ตอนท้ายประโยคของผู้ใหญ่เขากลับเหลือบมองมาทางฉันจากนั้นก็เผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา ทำเอาฉันที่กำลังสบตาอยู่ถึงกับงงเลยทีเดียวว่าเขาจะยิ้มแบบนั้นทำไม
"งั้นพวกผมและลูกศิษย์ลาตรงนี้เลยนะครับผู้ใหญ่"
"ครับอาจารย์ ขอให้ทุกคนโชคดีในหน้าที่การงานและการเรียนได้รับบุญได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทนกันทุกคนนะครับ เดินทางปลอดภัยครับ"
"สา...ธุ" ทุกคนพร้อมใจกันยกมือรับพรพร้อมกับกล่าวคำว่าสาธุอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะยกมือโบกลาน้องๆ ที่มาส่งจากนั้นก็หมุนตัวเดินขึ้นหลังกระบะรถของพี่ๆ อาสาที่มารับพวกเราเพื่อไปส่งยังสถานที่ที่นัดไว้กับรถบัสของมหาวิทยาลัย...
.
.
.
19.00น.
@มหาวิทยาลัย
อ่า~ ในที่สุดก็กลับมาถึงกรุงเทพฯอย่างปลอดภัย...
หลังจากที่นั่งรถกลับมาจากเชียงใหม่หลายชั่วโมง ตอนนี้รถบัสที่ฉันนั่งก็ขับมาถึงมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยอย่างสวัสดิภาพกันทุกคน ฉันที่นั่งบิดขี้เกียจอยู่บนเก้าอี้จึงหันไปทางคนข้างๆ แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว
แล้วเขาไปไหน?
เมื่อเห็นว่าพี่พระพายไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้วฉันก็หันมาทางกระจกฝั่งตัวเองต่อเพื่อมองหาพี่พระพายว่าเขาอยู่ไหน สอดสายตามองหาไม่นานก็พบว่าเขากำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ใต้ต้นไม้ห่างจากตัวรถไปประมาณสามสี่ก้าวพอดีซึ่งไม่รู้ว่าเขากำลังคุยอยู่กับใคร แต่พอมองเลยไปข้างล่างที่เป็นใต้ท้องรถซึ่งเป็นที่อยู่ของกระเป๋า ฉันก็เห็นว่ามีพี่ยามประจำตึกกำลังช่วยเอากระเป๋าของฉันกับพี่พระพายออกจากใต้ท้องรถพอดี ฉันก็เลยรีบลุกออกจากเก้าอี้ลงจากรถไปหาพี่ยามทันที
"กระเป๋าหนูเองค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการเองค่ะ" ฉันบอกพี่ยาม
"อ่อไม่เป็นไรครับ คุณพระพายเขาเรียกผมให้มาช่วยแล้วครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะพี่ เดี๋ยวโซทำเอง"
"มีอะไรกัน" หลังจากที่ฉันยื้อแย่งกระเป๋ากับพี่ยามไปมาแบบไม่มีใครยอมใคร จู่ๆ พี่พระพายที่คุยโทรศัพท์เสร็จตอนไหนไม่รู้ก็เดินเข้ามาหาพอดี ฉันก็เลยปล่อยมือจากกระเป๋าของตัวเองแล้วหันไปพูดกับพี่พระพายแทน
"โซจะทำเอง แต่พี่ยามเขาไม่ยอมเพราะพี่สั่งไว้แล้ว"
"ใช่ กระเป๋ามันหนักฉันเลยให้ยามมาช่วยยกลงเพราะมีสายโทรเข้ามาพอดี" พี่พระพายบอกฉันก่อนที่จะหันไปถามพี่ยามต่อ "แล้วนี่ยกเสร็จหรือยังครับ"
"ยกเสร็จพอดีเลยครับ"
"นี่ค่าสินน้ำใจผมให้ครับ" แบงค์เทาหนึ่งใบถูกยื่นไปตรงหน้าพี่ยามเป็นค่าสินน้ำใจที่ช่วยยกกระเป๋าลง พี่ยามที่เห็นแบบนั้นจึงไม่ปฏิเสธน้ำใจยื่นมือรับพร้อมกล่าวคำขอบคุณพี่พระพายกลับไป "ขอบคุณครับ" ก่อนที่จะเดินไปจากจุดที่ฉันยืนอยู่กับพี่พระพายในเวลาต่อมา ฉันที่เห็นว่าพี่ยามไปแล้วจึงหยิบกระเป๋าของตัวเองเตรียมแบกขึ้นหลังอีกครั้ง เพื่อที่จะได้เดินไปที่ลานจอดรถ
แต่...
"วางกระเป๋าลงแล้วเอากุญแจรถเธอมา" ฉันชะงัก ก่อนจะหันไปทางพี่พระพายที่กำลังแบมือขอกุญแจรถของฉันอย่างงงงวย คือเขาจะเอากุญแจรถของฉันไปทำไม
"กุญแจรถโซ? พี่จะเอาไปทำอะไร"
"ขับรถให้เธอไง มันดึกแล้วขับรถกลับเองมันอันตราย อีกอย่างเดินทางมาเหนื่อยๆ ด้วย" อ่า เข้าใจแล้ว แต่...รถเขาล่ะ วันมาเขาก็นั่งรถมานี่ แล้วตอนนี้รถเขาอยู่ไหนแล้วล่ะ
"ไม่ต้องยืนงงอยู่แบบนั้นหรอก เอากุญแจรถมา" ฝ่ามือใหญ่กระดิกนิ้วขอกุญแจรถจากฉันอีกครั้ง สุดท้ายฉันก็เลยยอมควักกุญแจรถจากกระเป๋าส่งไปให้แต่โดยดี
"รออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันไปเอารถมาก่อน" บอกฉันเสร็จร่างสูงของพี่พระพายก็เดินหายไปทางลานจอดรถส่วนฉันก็ยืนรออยู่กับกองกระเป๋าหลายใบทั้งของตัวเองและของพี่พระพายตามคำสั่งอย่างดี
ใช้เวลายืนรอไม่ถึงห้านาทีรถบีเอ็มสีขาวของฉันก็จอดเทียบฟุตบาทพร้อมร่างสูงของพี่พระพายที่ลงจากรถเดินไปประเปิดกระโปรงหลังรถเพื่อเก็บกระเป๋าเข้าไป หลังจากที่พระพายเก็บกระเป๋าทั้งของฉันและของเขาเสร็จแล้ว เขาก็เดินมาเปิดประตูรถให้ฉันต่อ
ตอนแรกฉันก็อึกอักก้าวขาไม่ออกสักเท่าไหร่ที่ต้องกลับกับพี่รหัสตัวเองสองต่อสองในเวลาแบบนี้แต่พอหันไปทางร่างสูงที่ยืนรอฉันขึ้นรถแล้วเจอสายตาตั้งคำถามว่าทำไมไม่ขึ้นรถสักที ฉันก็รีบเดินขึ้นรถเลย
เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่พระพายเขาคงจะเหนื่อยจากการเดินทางมาเหมือนกัน ถ้ามัวยึกยักคิดนู้นคิดนี่จะโดนเท้าเอวใส่เอาได้...