ชลนรรจ์จิ้มปลายนิ้วชี้ของตนเองลงบนสัญลักษณ์โทรออกในทันทีที่อ่านข้อความนั้นเสร็จ ชายหนุ่มเลื่อนหาเบอร์โทรของเอวิลีนที่ติดต่อเขามาเมื่อวานนี้จนพบ แล้วหลังจากนั้นจึงกดติดต่อกับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ปลายเท้าที่เคาะกับพื้นอย่างไร้จังหวะดังตึกๆๆ ประสานไปกับเสียงรอสายทำให้เขากระวนกระวาย และเมื่อปลายสายตอบรับมาเท่านั้น ชายหนุ่มก็บอกกับเอวิลีนอย่างรวดเร็วว่า
“นานาติดต่อมาแล้ว”
“งั้นเหรอคะ?” น้ำเสียงของปลายสายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ดีใจที่ได้ข่าวคนที่จู่ๆ ก็หายตัวไป “นานาว่ายังไงบ้าง” เจ้าหล่อนซักไซ้กลับ
มาอย่างรวดเร็ว ซึ่งชลนรรจ์ก็ไม่คิดจะปิดบัง เพราะเรื่องนี้เขายังต้องอาศัย
เอวิลีนอยู่มากในการตามหาตัวน้องสาวที่เกิดบ้าอะไรไม่รู้เล่นหนีหายไปคนเดียวเช่นนี้
“ดูเหมือนจะกลับไปเที่ยวนะ บอกว่าเจอเพื่อนเก่า” ชายหนุ่มตอบ ซึ่งต้องบอกว่าเขาค่อนข้างที่จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะมันมีอะไรหลายๆ อย่างให้ต้องเอะใจ “แปลก…ส่วนใหญ่นัทรู้จักเพื่อนนานาทุกคนนะ นานาไปกับใครกันทำไมไม่บอก” เขาเอ่ยอย่างสงสัย และนั่นทำให้เพื่อนสนิทคนใหม่อย่างเอวิลีนแนะนำขึ้นมาไม่ได้
“งั้นนัทลองติดต่อเพื่อนสนิทนานาที่อยู่ที่นี่ดูไหม เผื่อนานาจะแอบไปหาเพื่อนที่นั่น”
ชลนรรจ์ส่งเสียง ‘อื้อ’ ตอบรับก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงติดจะเคร่งขรึม “ลีน…นัทถามอะไรหน่อยสิ”
“คะ?” เอวิลีนตอบรับคล้ายกับเป็นคำถามว่าเขาจะถามอะไร และไม่นานหญิงสาวลูกเสี้ยวไทยก็ได้รู้เมื่อพี่ชายฝาแฝดของชลธิณาถามเธอว่า
“นานาเคยเล่าอะไรให้ลีนฟังไหม หรือมีท่าทีแปลกๆ อะไรบ้างไหม?”
เอวิลีนนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ เป็นความเงียบอันชวนอึดอัดที่คนรอคำตอบกระวนกระวายใจเป็นที่สุด และเมื่อหญิงสาวทบทวนความทรงจำทั้งหมดของตนเองได้แล้ว ก็ตอบคำถามของชลนรรจ์ในทันที
“ไม่นะ นานาก็ปกตินะ” หญิงสาวตอบ ไอ้ที่จะไม่ปกติก็ตอนนี้แหละที่จู่ๆ เจ้าหล่อนก็หายตัวไป นี่ก็สามวันแล้วที่นานาไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรนอกจากข้อความเพียงข้อความเดียว ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ชลนรรจ์รู้อยู่แล้วน่ะสิ
“จริงๆ เหรอ” ฝาแฝดของชลธิณาถามซ้ำ และนั่นก็ทำให้เอวิลีนต้องทบทวนความทรงจำตั้งแต่แรกเริ่มรู้จักกันทั้งหมด แล้วก็นึกได้ถึงท่าทีผิดปกติที่เธอไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นยังไม่สนิทกันมากเท่าปัจจุบัน
“อ้อ มีช่วงที่เปิดเทอมใหม่ๆ นานาเหมือนจะซึมนิดๆ นะ เห็นบ่นว่านอนไม่ค่อยหลับแล้วก็ฝันร้ายตลอด ช่วงนั้นยายนานานี่กลัวรถไปเลย พอถามก็บอกแต่ว่าฝันร้ายเกี่ยวกับรถน่ะ”
เจ้าหล่อนตอบ ซึ่งก็นี่แหละถือเป็นควาผิดปกติที่สุดที่เธอจำได้แล้ว เพราะหลังจากนั้นชลธิณาก็เหมือนจะมีอาการดีขึ้นแล้วก็ร่าเริงแจ่มใสดี ไม่มีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่นิดเดียว
“งั้นเหรอ?” ชลนรรจ์เอ่ยคล้ายกับจะครางในลำคอ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเสียเท่าไหร่ แต่ไอ้จะซักไซ้ลงลึกกว่านี้ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์เพราะเอวิลีนก็คงจะรู้พอๆ กับที่เขารู้นั่นแหละ
“มีอะไรเหรอนัท?” สาวสวยย้อนถามกลับบ้างเพราะชลนรรจ์นิ่งเงียบไป และนั่นทำให้ชลนรรจ์ตัดบทเพราะตนเองก็รบกวนหญิงสาวมาพอสมควรแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก ยังไงนัทไม่กวนลีนแล้วครับ ขอบคุณลีนมากจริงๆ นะ”
“แล้วนานา...?” เอวิลีนทวนถามเพราะนี่ยังเป็นประเด็นที่เธอยังไม่คลายใจง่ายๆ แม้ว่าเจ้าหล่อนจะติดต่อพี่ชายฝาแฝดของตัวเองกลับมาแล้วก็ตาม
ชลนรรจ์พยายามยิ้ม ปรับน้ำเสียงให้แจ่มใสเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไม่สบายใจและเป็นการไม่รบกวนกันมากกว่านี้แล้ว
“เรื่องนานาไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวนานาสบายใจก็คงติดต่อเรากลับมาเอง”
เขาเอ่ยปลอบ ก่อนจะพึมพำขอตัววางสาย เพราะหลังจากนี้ตนเองว่างพอจะสืบหาชลธิณาได้เองแล้ว โปรเฟสเซอร์ที่เรียกตัวเขาไปพบก็แค่อยากจะพูดคุยด้วยอะไรนิดหน่อย ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเขาเสียเท่าไหร่แต่ชลนรรจ์ก็เต็มใจทำให้อีกฝ่าย แต่หลังจากนี้เขายังคงพอมีเวลาก่อนเปิดเทอมในการตามหาตัวน้องสาวฝาแฝดของตนเอง
แต่ตอนนี้...คงต้องเริ่มจากการไล่หาก่อนว่าชลธิณามีเพื่อนที่ไหนที่มาอยู่อเมริกาแล้วบ้างในตอนนี้ แล้วไล่สืบจากตรงนั้น
แอนนาเบลล์คิดว่าตนเองไม่ได้เห็นพี่ชายมาสี่ห้าวันแล้ว...เอาจริงๆ ครั้งสุดท้ายที่เธอก็เป็นวันเดียวกับที่เธอเจอกับไอ้บ้าคนหนึ่งหน้าห้องทำงานของพี่นั่นแหละ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เจอ ตอนแรกเธอก็ไม่คิดจะเอะใจถาม เพราะคิดว่าพี่ชายคงยังอยู่ที่นี่เพียงแต่การใช้ชีวิตของเขากับเธอสวนทางกันเท่านั้น หากเมื่อนานวันกลับไม่เห็นเขาเสียทีจึงอดที่จะสอบถามไม่ได้ และแน่นอนว่าเธอลองโทรไปหาเขาก่อนแล้วทว่าเขาไม่รับสาย ซึ่งแน่นอนว่านับตั้งแต่เกิดเรื่องที่เธอประสบอุบัติเหตุเมื่อหกเดือนก่อน พี่ชายที่บางครั้งก็ไม่ค่อยจะยอมบอกว่าเขาไปไหนทำอะไรก็มักจะบอกกับพิต้าพี่เลี้ยงของเธอเอาไว้เสมอ คล้ายว่าเขาอยากให้เธอไว้วางใจว่าเขาจะไม่เป็นแบบเดิม ไม่ทิ้งขว้างและเอาแต่ทำงานโดยไม่สนใจเธออีกต่อไป ซึ่งพอเธอไปสอบถามกับพิต้า หญิงวัยเกือบหกสิบผู้เป็นพี่เลี้ยงทั้งของเธอและเขาก็ตอบคำถามของเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยอันเป็นปกติว่า
“เห็นคุณท่านบอกว่าท่านติดธุระด่วนน่ะค่ะ คุณหนูมีอะไรเหรอคะ”
คิดไม่ผิดสิน่าที่ถามเอากับพิต้า และเมื่อพี่เลี้ยงวัยกลางคนที่
ตกทอดมาจากพี่ชายย้อนถามกลับ แอนนาเบลล์จึงส่ายหน้า แล้วตอบ
พิต้าด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ ว่า
“เปล่าหรอก แอนนาก็แค่เหงา แอนนาเบื่อ แอนนาอยากออกไปข้างนอก”
ก่อนหน้าจะหายไป ดมิทรีเป็นคนบอกเธอเองว่าช่วงนี้ไม่ค่อยอยากให้เธอออกจากบ้าน และแอนนาเบลล์ที่ก่อนหน้าเธอติดพันอยู่กับการวาดภาพชิ้นใหม่และเอาแต่หมกตัวอยู่ในสตูดิโอที่ดมิทรีสร้างให้อีกนั่นแหละก็ยินยอมแต่โดยดี ทว่าเมื่อเธอวาดเสร็จ และคนเป็นพี่ชายที่เปรียบเสมือนเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอก็ไม่อยู่เสียอย่างนั้น หญิงสาวจึงรู้สึกเหงาอยู่บ้าง
เพื่อนฝูงของเธอส่วนใหญ่อยู่ชิคาโกกันเนื่องจากเธออยู่ที่นั่นและไปเรียนที่นั่นตั้งแต่ไฮสคูล ทว่าหลังจากเรียนจบและเกิดเรื่องกับเธอขึ้นมาเสียก่อน พี่ชายจึงขอร้องให้เธออยู่ที่ลาสเวกัสกับเขาซึ่งเธอก็ไม่ขัด เพราะส่วนใหญ่เธอจะวุ่นกับการรักษาตัวให้เป็นปกติเสียล่ะมากกว่า
“อย่าเพิ่งเลยนะคะ” พิต้าเอ่ยห้าม แม้จะอดเห็นใจคนที่คล้ายกับถูกจับขังอยู่ในกรงไม่ได้ “คุณดีนท่านสั่งเอาไว้ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณหนูนะคะ”
“แต่แอนนาเบื่อ”
หญิงสาวเถียงกลับด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด และนั่นทำให้
พี่เลี้ยงของเธอเดินเข้ามาชิด พลางใช้มืออวบอูมของตนเองลูบท่อนแขนเล็กของสาวน้อยเบาๆ เป็นการปลอบประโลม
“อดทนนะคะคุณหนู ไม่มีใครอยากให้คุณหนูอุดอู้หรอกค่ะ แต่เพื่อคุณหนูเองนะคะ อย่าทำให้คุณท่านเป็นห่วงเลย” พิต้าพยายามกล่อมอีกฝ่าย ประจำแอนนาเบลล์ไม่ใช่คนหัวดื้อ เธอค่อนข้างจะมีเหตุผลและยอมรับฟังคำสั่ง แต่บางครั้งเธอก็ยังมีมุมของคุณหนูผู้เอาแต่ใจและนิสัยร้ายกาจเหวี่ยงวีนอย่างเด็กๆ เมื่อโดนขัดใจมากๆ
หญิงสาวเป็นประเภทแรงมาก็แรงกลับ และแพ้ให้แก่ไม้อ่อนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งพิต้ารู้ดีเพราะเลี้ยงมากลับมือ หญิงสูงวัยจึงไม่หนักใจเลยกับการต้องปลาบพยศคุณหนูมาโควิซในยามนี้
“ก็ได้ๆ” และมันก็ได้ผลแม้ว่าแอนนาเบลล์จะมีสีหน้าหงุดหงิดอยู่บ้างก็ตาม “แอนนาจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็ได้” หญิงสาวตอบรับด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น แล้วอดประชดถึงคนดีที่หนึ่งของพิต้าไม่ได้ แน่นอนว่าพี่เลี้ยงสูงวัยย่อมยิ้มรับด้วยความดีใจเมื่อแอนนาเบลล์ไม่ดื้อดึงกับคำสั่งของดมิทรี
“ดีค่ะ คุณหนูของพิต้าน่ารักที่สุด”