เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่น่ากังวล เหยาอันก็หันมาสนใจเรื่องที่ตนจะทำต่อ โดยการหอบเอาลำไผ่ที่ตัดเป็นท่อนความยาวเท่าช่วงศอกไปปักเป็นวงกลมในลำธาร จากนั้นก็เอาปลาในถังไปปล่อยไว้
ส่วนคนที่กำลังทุบไผ่ก็ชะเง้อคอยาวมองอย่างสงสัย จนต้องลุกมาดู “เจ้าจะเลี้ยงไว้ตรงนี้ ไม่กลัวคนจะมาขโมยหรือ”
“ปลาเหล่านี้ถูกขังในถังแคบ ๆ นานเกินไป มันอาจจะตายได้ อยู่ในลำธารมันก็เหมือนกับได้อยู่บ้าน อย่างน้อยก็ต่ออายุไปได้อีก”
“เจ้าเอ่ยเช่นนี้หมายความว่า หากพี่ชายข้าต้องการปลาไปเป็น ๆ อาจจะไม่ง่ายกระนั้นหรือ” จินหยางเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
“หากได้ถังหรืออ่างที่ใหญ่พอ และใส่น้ำในคลองที่มันเคยอาศัยลงไป ก็น่าจะรอดเจ้าค่ะ” เอ่ยจบนางก็เดินกลับมาที่กองไม้ไผ่ แล้วจัดการประกอบแคร่ขึ้นมาโดยไม่ได้ออกปากขอให้อีกฝ่ายช่วย
ส่วนท่านหมอเสิ่น ยามนี้เขากำลังยืนนิ่งอึ้งเพราะหางเสียงที่อ่อนน้อมของเหยาอัน ซึ่งปกตินางจะเอ่ยกับเขาห้วน ๆ ทว่าหนนี้กลับลงท้ายด้วยคำไพเราะว่า ‘เจ้าค่ะ’ ชายหนุ่มไม่ค่อยชินกับมันเลย
ความรู้สึกเขายามนี้จึงเหมือนคนที่ตกอยู่ในภวังค์ไม่มีผิด กระทั่งได้ยินเสียงตอกลิ่มดังขึ้นจึงรีบหันมามอง และยืนนิ่งงันไปอีกหน เมื่อเห็นร่างผอมบางนั่งต่อโครงไม้ไผ่เพื่อทำแคร่ด้วยมือตนเอง
‘นางเป็นสตรีแบบไหนกันนะ’ ความสงสัยยังคงผุดขึ้นมา แม้ตลอดทั้งวันจะเห็นแล้วว่านางไม่เหมือนที่เคยได้ยิน ทว่ามันก็ต่างจากข่าวลือเกินไป นางไม่ได้เกียจคร้าน แต่ขยันมากกว่าบุรุษในหมู่บ้านบางคนเสียอีก ที่สำคัญคือนางฉลาดและรอบรู้หลายอย่างนัก
เขายืนนิ่งงันตกในห้วงความคิดเนิ่นนาน จนมีบางสิ่งมากระตุกชายเสื้อจึงได้สติ “พี่เสิ่น ไม่คิดจะช่วยพี่เหยาหรือเจ้าคะ” ด้วยความไร้เดียงสา และเกรงพี่สาวตนจะเหนื่อยคนเดียว ม่านอวี้จึงทักท้วงผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง หวังให้เขาช่วยทำงานดีกว่ายืนมอง
“ชะ… ช่วยสิ” ท่านหมอรับคำแล้วก็รีบก้าวเดินมาประกอบตัวแคร่เพื่อเอาไปวางบนโครงที่เหยาอันทำ แต่ละคนต่างก็ตั้งใจทำงานในส่วนของตน ถึงกระนั้นก็ยังมีเหลือบมองกันอยู่บ้าง กระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ข้าวของเครื่องใช้ที่เจ้าของเรือนต้องการก็ได้ครบ
เหยาอันยืนมองโต๊ะกินข้าวไม้ไผ่ แคร่ไม้ไผ่ และชั้นวางไม้ไผ่ที่เอาไว้ใช้ในครัวอย่างปลื้มปริ่ม แม้นางจะไม่ได้ทำคนเดียว ทว่านี่มันก็เป็นความคิดริเริ่มของตนตั้งแต่แรก หญิงสาวจึงรู้สึกภูมิใจมาก
‘ไม่เสียแรงที่นั่งเฝ้าคุณปู่ทำเฟอนิเจอร์จากไม้ไผ่’ นางยกยิ้มกับความสำเร็จของตนที่คิดค้นออกแบบมา ซึ่งมันแปลกตาเป็นอย่างมาก แม้แต่ท่านหมอยังยืนพิจารณาอยู่นานหลังทำเสร็จเรียบร้อย
“โต๊ะ เตียง เก้าอี้พิง ชั้นวางของเจ้า เหตุใดไม่เหมือนกับของบ้านเรือนคนทั่วไป แม้แต่ที่บ้านข้ายังไม่มีอะไรเช่นนี้เลย เจ้าไปได้ความคิดนี้มาจากไหนหรือ” ท่านหมอหันมาถามอย่างใคร่รู้
หญิงสาวจึงมองเขาพร้อมกับยิ้มเอ็นดูท่าทางของอีกฝ่ายที่เหมือนจะตื่นตากับสิ่งประดิษฐ์ของนางมาก อันที่จริงมันก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก หากอยู่ในยุคปัจจุบันก็พบเห็นได้ทั่วไป
“ตอนที่ข้าป่วย ข้าฝันเห็นข้าวของเครื่องใช้แปลกตามากมาย เลยลองทำตามความฝันก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
“แค่ฝันเห็นเจ้าก็ทำได้กระนั้นหรือ” เขามองนางอย่างไม่เชื่อ
“อืม… แค่ฝัน” สิ้นคำนางก็หันหนีพร้อมกับเผยยิ้ม ก็ใครมันจะไปบอกความจริงได้ว่านางเคยทำมาก่อนแล้วในยุคที่ตนเองจากมา กว่านางจะได้ไปอยู่กับแม่ในเมืองใหญ่ นางก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย
ช่วงที่พะแพงยังเด็ก นางก็อยู่กับพ่อกับปู่ที่เป็นช่างไม้ ผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้ไผ่และไม้ที่หาซื้อมาได้ เวลาว่างพวกเขาก็ไปแคมป์ปิ้งในป่า ใช้ชีวิตหาของป่าและอยู่ในนั้นหลายวัน จึงไม่แปลกที่หญิงสาวจะรอบรู้เกี่ยวกับสิ่งที่นางทำ
“พี่เหยา ข้าหุงข้าวเสร็จแล้วขอรับ” จื่อเทาเอ่ย ทว่าพอเขาออกมาเห็นเครื่องใช้มากมายวางอยู่หน้าเรือนก็ร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้น “พี่เหยา นี่มันวิเศษมากเลยขอรับ” เด็กน้อยรีบตรงเข้ามาสัมผัส ลูบไปตามสิ่งประดิษฐ์ที่พี่สาวและท่านหมอทำขึ้น
“ระวังเสี้ยนจะตำมือ ยังไม่ได้ขัด” นางรีบเตือน
“ขอรับ” เด็กน้อยถดมือทันที
“ยังเหลือเตียงนอน ทว่าวันนี้ค่ำแล้ว เอาไว้วันพรุ่งพี่จะไปตัดไผ่มาทำให้นะ” เอ่ยบอกเด็กทั้งสองที่ปีนขึ้นไปนั่งบนแคร่ ซึ่งมีพนักพิงยาวไปจนสุดมุม “ลงมาก่อน บอกว่ามันยังไม่ได้ขัด ประเดี๋ยวก็เสี้ยนทิ่มก้น พี่ไม่ดึงออกให้นะ” ถ้อยคำหยอกเย้าดังขึ้น
“เอาดินทรายมาห่อผ่้าขัดเอาก็ได้ จื่อเอ๋อร์พอจะมีผ้าเก่า ๆ หรือไม่ เอามาให้พี่จะได้ไปกอบทรายตรงลำธารมาขัด”
“ได้ขอรับ” เด็กน้อยรีบวิ่งเข้าเรือน ก่อนจะออกมาพร้อมกับชุดของตนเองซึ่งมันทั้งเก่าและขาด ถึงกระนั้นก็ยังเป็นชุดที่เขาใส่อยู่
เสิ่นจินหยางรับมาถือไว้แล้วก็นิ่งไป อึดใจต่อมาเขาก็เอ่ยขึ้น “วันพรุ่ง พี่จะซื้อชุดใหม่มาให้พวกเจ้านะ”
เหยาอันไม่ได้คัดค้านคำพูดเขา เพราะการที่ท่านหมอเอ็นดูเด็กทั้งสองมันย่อมเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว
“เช่นนั้นเจ้าสองคนก็ช่วยท่านหมอนะ พี่จะไปทำกับข้าว เอาน้ำมาให้ท่านหมอดื่มด้วยล่ะ” เอ่ยแล้วนางก็เดินเลี่ยงตรงไปที่ครัว โดยมีสายตาชายหนุ่มมองตามอย่างไม่เชื่ออีกแล้ว
“พี่สาวเจ้าทำอาหารเป็นด้วยหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ อร่อยมากด้วย” ม่านอวี้ตอบเสียงใส
“ไม่น่าเชื่อ” ท่านหมอยังคงกล่าวปรามาส
“พี่เสิ่นก็ลองอยู่ชิมสิขอรับ” จื่อเทาแนะ ในขณะที่ทั้งสามเดินไปยังลำธารน้อยข้างเรือน จากนั้นก็พากันกอบทรายละเอียดใส่ห่อผ้าแล้วเดินกลับมาที่แคร่ และยังคงพูดคุยกันถึงเรื่องของคนในครัว เพราะนี่มันคือโอกาสดีที่เสิ่นจินหยางจะได้สืบความเกี่ยวกับนาง
“พอตื่นขึ้นมา พี่สาวเจ้าก็ขยันไม่เหมือนก่อนกระนั้นหรือ”
“ขอรับ จากที่ไม่เคยทำอาหารก็ทำเป็นและอร่อยด้วย ที่สำคัญไม่เอาแต่นอนเหมือนเมื่อก่อน ทว่านางก็ยังดุเหมือนเคย” เด็กน้อยเอ่ยบอกตามประสา เห็นเช่นไรเขาก็ว่าไปอย่างนั้น
“พี่จื่อ! ยามนี้พี่เหยาดุแต่ไม่ได้ตีเราเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ” น้องสาวรีบแย้ง พร้อมกับส่งสายตาตำหนิใส่พี่ชาย
“ใช่ ๆ พี่เหยาไม่ตีเราเหมือนแต่ก่อนแล้ว นางแค่ดุเพราะเราดื้อ ถ้าเชื่อฟังพี่เหยาก็ไม่ดุขอรับ” เด็กชายรีบแก้ต่างคำพูดตน ไม่เช่นนั้นน้องสาวต้องงอนเขาอีกเป็นแน่ โทษฐานว่าพี่สาวนาง
“หึหึ” ท่านหมอหัวเราะอย่างเอ็นดู จากนั้นเขาก็ถามไปเรื่อย รวมถึงเรื่องของสหายที่จากไปกว่าสองปีแล้ว เด็กน้อยจึงเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ชายหนุ่มจึงได้รู้ว่า เถาหย่งเต๋อไม่ได้ส่งข่าวอันใดกลับมาหาน้อง ๆ ของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
‘เถาหย่งเต๋อไยเจ้าทำเช่นนี้ ไม่นึกสงสารน้องตนเองบ้างหรือ นี่ถ้ามู่เหยาอันเป็นสตรีใจร้ายมากกว่านี้ เด็ก ๆ จะทำเยี่ยงไร’ นึกถึงการกระทำสหาย สมกับที่มู่เหยาอันว่าไว้ไม่มีผิด ต่อให้นางร้ายกาจตีเด็ก ๆ ในบางครั้ง กลับไม่ได้รุนแรงร้ายกาจเหมือนที่สหายเขาทำ กล้าปล่อยน้อง ๆ ให้อยู่กับคนเกียจคร้านไม่เอาไหน ไม่คำนึงเลยว่าภายหน้าน้องทั้งสองจะพบกับความยากลำบากเพียงใด
ยังดีที่เหยาอันอันไม่ได้ร้ายกาจถึงขั้นทำให้เด็กสองคนนี้เลือดตกยางออก ก็แค่ปล่อยให้หิวในบางวันเท่านั้น และโชคดีนักที่ยามนี้นางเปลี่ยนไปแล้ว ขยันขึ้น หาเงินเก่งและรอบรู้ขึ้นมากเสียด้วย
อีกอย่าง บัดนี้เขาก็กลับมาแล้ว ภายหน้าน้องของสหายจะไม่พบกับความยากลำบากอีก เขาจะหมั่นมาเยี่ยมเยียนแน่นอน
ทว่าในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น กลิ่นหอมของอาหารที่อยู่ในครัวก็ลอยออกมายั่วน้ำลาย และไม่ใช่แค่เขาที่ชะเง้อคอยาว แต่ยังมีกลุ่มของลุงจางที่เดินมาจากทางลาดเข้าหมู่บ้าน และอีกกลุ่มที่เดินมาจากทางในหมู่บ้าน ทว่าทั้งหมดมาบรรจบกันที่เรือนหลังเล็กของมู่เหยาอัน พร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมของอาหารไปด้วย
“ใครทำอะไร ทำไมกลิ่นหอมนัก” เฉินอี้เอ่ยถามน้องชาย พลันสายตาเขาก็มาชะงักกับเครื่องใช้สี่ห้าอย่างที่ตั้งเรียงรายนอกเรือน และมิใช่แค่เขาที่มึนงง กลุ่มลุงจางก็เดินเข้ามาดู