ขนมปัง Talk
หลังจากฟื้นขึ้นด้วยสภาพมึนงงฉันก็รีบกวาดสายตามองหาเพื่อนที่นอนด้วยกันเมื่อคืน เปิดโทรศัพท์ทำท่าจะกดโทรหาน้ำแต่ก็เห็นข้อความที่เพื่อนส่งมาให้ก่อน
[สายน้ำ : กลับหอก่อนนะ]
ดูสิจะกลับทั้งทีแต่ไม่ยอมปลุกฉัน มองดูเวลาก็พบว่าตอนนี้เป็นช่วงเที่ยงแล้วจึงลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาสั้นทรงสบาย
เดินลงมาคิดว่าจะเจอพวกพี่ๆ เพราะเป็นวันหยุด แต่พับผ่าสิบ้านหลังนี้เงียบเชียบเสียยิ่งกว่าป่าช้าอีก
“มีใครอยู่ไหม ยู้วฮูววว!!” ฉันตะโกนเรียกซึ่งไม่นานแม่บ้านสองคนก็รีบเดินเข้ามา
“พี่พนากับพี่ผิงล่ะ”
“คุณพนาออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ส่วนคุณขนมผิงเพิ่งออกไปกับคุณเดย์เมื่อกี้นี่เอง”
ให้ตายเถอะ! สรุปแล้วฉันตื่นขึ้นมาเพื่ออยู่คนเดียวเหรอเนี่ย
เดินเล่นวนรอบบ้านก็ไม่มีอะไรทำฉันจึงเดินกลับเข้ามานั่งเล่นในห้องรับแขก เอนกายพิงพนักโซฟาตัวนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม พอเข้ามาในเกมก็โชคดีที่เจอเพื่อนหนึ่งคนซึ่งเป็นเพื่อนกันผ่านเฟซบุ๊ก แต่ดูสิตั้งชื่อได้สะเหล่อมาก
‘ไอ้พวกไก่กระต๊าก’
แค่เห็นชื่อก็หมั่นไส้ละ คนบ้าอะไรตั้งชื่อไก่กระต๊าก (ไก่ภาษาเกม = คนที่เล่นไม่เก่ง ไม่ชำนาญ)
โปรไฟล์เฟซบุ๊กเล็กๆ ที่ขึ้นโชว์ฉันก็รู้สึกคุ้นๆ อยู่นะ เหมือนเคยเห็นจากที่ไหนแต่ก็จำไม่ได้ เขาไม่ได้ตั้งรูปโปรไฟล์เป็นรูปหน้าตัวเองแต่กลับตั้งเป็นตุ๊กตาหมีขาวใส่กระโปรงสีชมพูแทน
ฉันเลยไม่รู้ว่าอีกคนเป็นผู้ชายหรือหญิง แต่ก็นั่นแหละ ทั้งเกมไอ้คุณหมีคนนี้ออนอยู่คนเดียว คนไม่มีเพื่อนอย่างฉันจึงเสี่ยงกดเชิญดู
สาม สอง หนึ่ง..
อ้ะ! เข้ามาจริงด้วย
ฉันฉีกยิ้มกว้างดีใจที่อย่างน้อยในวันที่ไม่มีใครแบบนี้ฉันก็ยังมีเพื่อนเล่นเกม โฮะๆๆๆๆ
[ขนมปังอาหารปลา : หวัดดี]
[ไอ้พวกไก่กระต๊าก : อืม]
ระหว่างรอจับคู่ต่อสู้ฉันก็ชวนเพื่อนคุย แต่ไม่รู้ว่าพูดน้อยหรือหยิ่งกันแน่ถึงได้ตอบสั้นๆ ห้วนๆ นัก
[ขนมปังอาหารปลา : ไก่เป็นผู้หญิงหรือชายอ่ะ]
สร้างมิตรภาพสักหน่อย อนาคตเผื่อจะได้ลงสนามด้วยกันอีกดูจากอันดับของหมีตัวนี้แล้ว ฝีมือคงไม่ธรรมดา
[ไอ้พวกไก่กระต๊าก : หญิงก็ได้ชายก็ดี]
หมายความว่าไง เป็นทอมเหรอ?
[ขนมปังอาหารปลา : หมายความว่าไงอ่ะ สรุปเป็นหญิงหรือชาย]
[ไอ้พวกไก่กระต๊าก : โฟกัสเกม ถ้าเธอทำฉันแพ้ฉันด่าเธอยับแน่]
ดุเสียด้วย สัมผัสได้ถึงรังสีความเก๊กขรึมของอีกคนลอยออกมานอกจอเกมเลย แต่ดูสินี่มันเอาเปรียบกันชัดๆ ฉันล็อกอินด้วยเฟซบุ๊กโปรไฟล์รูปภาพจึงโชว์หราเป็นรูปหน้าฉัน ส่วนอีกคนกลับไม่มีตัวตนแน่ชัด
ฉันลองเข้าไปดูเพื่อนในเฟซของตัวเอง ก็เจอคนที่ตั้งรูปโปรไฟล์เดียวกันกับไอ้หมีตัวนี้ แต่เหมือนจะเป็นแอคหลุมที่สร้างขึ้นมาใหม่ ไทม์ไลน์ว่างเปล่าแชร์แต่เรื่องเกม
กลายเป็นเขารู้จักฉันอยู่ฝ่ายเดียว
[ไอ้พวกไก่กระต๊าก : เหม่อบ้าอะไรของเธออยู่เนี่ยยัยอาหารปลา ทะเล่อทะล่าเข้าไปให้พวกมันฆ่าทำไมฮะ จู่ๆ ก็ตาบอดหรือไง]
เหม่อจนลืมดูเกมมีอยู่จริง และแน่นอนว่าฉันโดนไอ้ไก่ตัวนั้นด่าเรียบร้อย
ฉันโมโหแต่เถียงไม่ได้เพราะเรื่องนี้ฉันผิดจริง จึงทำได้เพียงรอให้เกิดใหม่และจดจ่ออยู่กับเกมเตรียมกลับไปแก้แค้น
ฆ่าฉันนักใช่ไหม แม่จะหั่นเป็นชิ้นๆ เลยคอยดู!!
ว่าแล้วฉันเดินเข้าไปแอบในพุ่มไม้รอจังหวะให้ไอ้คนที่ฆ่าฉันเดินเข้ามาใกล้ๆ จัดการน็อคมันให้อยู่หมัด
เยส!! ฆ่าได้แล้ว
[ไอ้พวกไก่กระต๊าก : เธอแย่งศัตรูฉันไปนะยัยอาหารเม็ด]
อาหารเม็ด? ทำไมฟังดูเหมือนถูกด่า...
[ขนมปังอาหารปลา : ใครฆ่าคนนั้นได้ ฉันไม่สนหรอกว่าระหว่างทางมันผ่านอะไรมาบ้าง ฉันสนแค่ ฉันคือคนฆ่า จบนะ]
เล่นเกมไปหัวร้อนไปจนสุดท้ายก็ผ่านไปห้าเกมอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็สี่โมงเย็นแล้ว พี่พนาที่หายไปทั้งวันก็กลับมาพอดี
“พี่พนา”
ฉันเอ่ยเรียกพี่ชายพร้อมกับกดออกจากเกมในจังหวะที่เกมสุดท้ายจบลงพอดี
ส่วนไอ้ไก่กระต๊ากตัวนั้นมันหนีฉันออกจากเกมไปตั้งแต่ตาที่สามละ บอกจะออกไปธุระ แต่ฉันว่ามันเสียฟอร์มที่ปล่อยให้เกมก่อนหน้าฉันได้เอ็มวีพีไปมากกว่า
พี่พนาหันมามองหน้าฉันก่อนจะเดินเข้ามาหา
“วันนี้ออกไปไหนมาคะ”
“ซื้อของขวัญวันเกิดให้ผิงไง” ว่าแล้วพี่พนาก็หยิบของชิ้นดังกล่าวยื่นให้ฉันดู
“ว้าววว!! สวยจัง” ฉันว่าพลางทำตาลุกวาวหยิบกำไลข้อมือแบรนด์ดังขึ้นมาดู
“พี่พนาเลือกเก่งจังไม่คิดเลยว่าจะเลือกของให้ผู้หญิงเก่งแบบนี้” หันไปเอ่ยแซวพี่ชายพร้อมกับเก็บกำไลชิ้นดังกล่าวกลับเข้ากล่อง
พี่พนาเผยรอยยิ้มบางดูมีความสุขจนฉันอดทำหน้าสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะตั้งแต่พี่พนารู้เรื่องพี่อาทิตย์กับพี่ครีมเมื่อช่วงครึ่งปีก่อนก็ไม่เห็นพี่พนายิ้มแบบนี้มานานแล้ว
พอนึกถึงเรื่องพี่ครีมขึ้นมาฉันก็เพิ่งคิดได้ว่ามีเรื่องจะถามพี่พนาอยู่พอดี
“พี่พนาปังขอถามอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพี่ครีมได้ไหม” สีหน้าอารมณ์ดีแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ก็ยอมพยักหน้าลงให้ฉันถาม
“คือปังเพิ่งเจอพี่ครีมไปเมื่ออาทิตย์ก่อนตอนไปเดินเที่ยวห้าง แล้วก็แปลกใจนิดนึง”
“แปลกใจอะไร”
“ก็พี่ครีมท้องอยู่ไม่ใช่เหรอคะ แต่ทำไมยังหุ่นดีอยู่เลย”
ตอนที่พี่ผิงกับพี่อาทิตย์ถอนหมั้นกันสาเหตุหลักๆ ที่แม่พี่อาทิตย์ยอมถอนหมั้นง่ายๆ ก็มาจากเรื่องนี้แหละ พี่ผิงเล่าให้ฟังว่าตอนพี่พนารู้เรื่องครั้งแรกก็ช็อกไปเลย แต่พี่ชายฉันค่อนข้างเป็นคนเก็บอาการจึงไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาเสียใจขนาดไหน
“ครีมแท้ง”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าตอนตั้งครรภ์ได้สี่สัปดาห์เด็กก็หลุดออกมา”
“แย่จังเลยค่ะ อุตส่าห์มีลูกแล้วแท้ๆแต่กลับเสียไปแบบนั้น”
“อืม...”
ฉันเผลอแสดงความเสียใจกับเรื่องพี่ครีมจนไม่ได้สังเกตหน้าพี่ชายตัวเองเลยว่าเป็นอย่างไร ไม่น่าพูดถึงเรื่องนี้ให้พี่ชายรู้สึกแย่เลย
“พี่ไปทำงานก่อนนะ”
“ค่ะ” ได้แต่มองตามหลังพี่ชายเดินเข้าไปในห้องทำงาน เฮ้อ...อยากให้พี่พนามีแฟนใหม่จัง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ฉันโทรหาน้ำจะชวนออกมาดูหนังด้วยกัน แต่โทรไปแล้วอีกคนก็ไม่ยอมรับสายฉันจึงเดาว่าอาจจะนอน เพราะเมื่อคืนน้ำเมาหนักมากอาจจะกำลังแฮงค์อยู่
ตอนนี้ฉันจึงกลายเป็นสาวสวยผู้โดดเดี่ยวออกมาเดินเที่ยวห้างคนเดียว
เดินไปก็กวาดสายตามองไปเรื่อยแบบไม่มีเป้าหมาย เพราะรอบหนังที่จะดูคือช่วงหนึ่งทุ่มแต่นี่เพิ่งจะห้าโมงครึ่ง ฉันจึงเดินเรื่อยเปื่อยรอกะว่าจะเข้าไปดูหนังสือนิยายสักหน่อย จำได้เลยว่าครั้งแรกที่เจอกับไอ้พี่เขื่อนก็เป็นที่ร้านหนังสือนี่แหละ
ตอนนั้นฉันกำลังตามหาหนังสือนิยายออกใหม่ของนักเขียนคนโปรด ซึ่งเหลือเป็นเล่มสุดท้ายพอดีขณะกำลังจะหยิบไปจ่ายเงินก็ถูกอีกคนแย่งไป ผู้ชายคนนั้นก็คือพี่เขื่อน แต่สุดท้ายก็โชคดีที่แย่งกลับคืนมาได้
วันนั้นพี่เขื่อนมาช่วยน้ำหาหนังสือนิยายเล่มเดียวกับฉันจึงเกิดการยื้อแย่งหนังสือเล่มนั้นขึ้น และนั่นจึงเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่ทำให้ฉันได้เจอกับสายน้ำและเริ่มพูดคุยกันจนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทถึงทุกวันนี้
ฉันเดินเข้าไปในร้านหนังสือตรงไปยังมุมหนังสือนิยายวาย
ไหนดูซิ้ว่ามีเรื่องไหนน่าสนใจบ้าง...
“ยัยปังเน่า” ขณะกำลังเลือกดูหนังสือจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ฉันหันไปมอง
ใครจะคิดว่าจะเจอไอ้พี่เขื่อนที่นี่อีก แต่เมื่อกี้พี่มันเรียกฉันว่าอะไรนะ ‘ปังเน่า’ เหรอ?
“เมื่อกี้พี่ว่าอะไรนะ”
“ว่าอะไร...ไม่ได้พูดอะไรเลย”
“เอ้า! ก็พี่เรียกว่าปังเน่าไง” ฉันยืนเท้าสะเอวเตรียมแว้ดใส่เขา
“หูเธอเพี้ยนไปเองหรือเปล่า แคะขี้หูบ้างนะ”
“พี่สิเอาตะกร้อมาครอบปากบ้างนะ หมามันจะได้ไม่หลุดออกมาเห่าหอน”
“ปากตัวเองดีตายแหละ”
“ดีกว่าปากพี่อ่ะ”
“จะทะเลาะให้ได้เลยใช่ไหม” เจอหน้ากันทีไรเป็นอันต้องปะทะอารมณ์กันทุกที และฉันก็ไม่ใช่คนเริ่มด้วย
“ช่างเถอะขี้เกียจเถียงกับพี่ละ”
ฉันเลิกสนใจเขาและหันมาหาหนังสืออ่านต่อ จำได้ว่ามีอยู่เล่มหนึ่งที่อยากได้ พระเอกเป็นเจ้าชายอะไรสักอย่าง...อยู่ไหนนะ
อ้ะ! เจอแล้ว
พรึ่บ!
ขณะที่กำลังจะหยิบหนังสือเล่มที่กำลังตามหา อีกคนที่มือไวกว่าก็ฉวยตัดหน้าฉันไป
“พี่แย่งหนูไปอีกแล้วนะ!”
“อยากได้ก็ขอร้องฉันสิ”
“ฝันไปเถอะ” โชคดีที่รอบนี้มีหลายเล่ม อยากแย่งก็แย่งไป ชิ!
“นี่เธอมาคนเดียวเหรอ”
“ยุ่งอะไรด้วยล่ะ”
“ไปดูหนังไหม”
นี่ฉันหูฝาดไปหรือไง เขาชวนฉันดูหนังเนี่ยนะ
“สมองพี่กลับหรือไงถึงได้ชวนหนูดูหนัง”
“ก็เบื่อๆ เลยอยากหาเพื่อนดูหนังฆ่าเวลา”
ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญอยากดูหนังเหมือนกัน แต่...ฉันไม่บอกหรอกว่ากำลังจะไปดูหนัง
“พี่ไปเหอะหนูไม่ไปอ่ะ”
“ทำไมอ่ะไม่ชอบดูหนังเหรอ”
“เปล่า แค่ไม่อยากดูกับพี่” ฉันยีฟันยิ้มกวนประสาท และแอบเห็นนะว่าอีกคนเริ่มคิ้วกระตุกแต่เก็บอาการอยู่
“ฉันเลี้ยงตั๋วหนังเองไปไหม”
“ป๊อบคอร์นด้วยไม่งั้นไม่ไป”
“เห็นแก่กิน”
“หรือจะไม่เลี้ยง”
“เออก็ได้ แต่รสชาติฉันเป็นคนเลือกนะ” หึ! ยอมให้ก็ได้เพราะฉันมันลิ้นจระเข้จะรสชาติไหนก็กินได้หมดนั่นแหละ
“ตกลง”