ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกปวดหัวเหมือนจะระเบิด ตอนนี้แค่ขยับตัวลุกขึ้นมานั่งก็แทบอยากจะอ้วกแล้ว
เมื่อวานนอกจากดื่มเบียร์แล้วฉันก็ยังใจกล้าหยิบเหล้าก้นขวดขึ้นมาดื่มอีก ทำให้สภาพตอนนี้จำอะไรไม่ได้เลย ภาพตัดไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ขนมปังยังนอนหลับไม่ได้สติฉันเลยแอบย่องลงจากเตียงช้าๆ ไม่ให้เพื่อนรู้สึกตัว เดินเข้ามาในห้องน้ำล้างหน้าล้างตาส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อย ซึ่งจังหวะนั้นใครจะคิดล่ะว่าฉันจะสังเกตเห็นรอยแปลกๆ ที่ต้นคอ
มองจากดาวอังคารก็รู้แล้วว่ามันคือรอยอะไร
ใครทำคอฉันเนี่ย!!!
ขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่ารอยมันชัดมากจนน่ากลัว แม้จะเป็นจุดเดียวแต่ก็เด่นพอให้เป็นจุดโฟกัสสายตา หัวใจฉันเต้นแรงมากเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างรอยนี้ขึ้นมา พยายามนึกแล้วแต่ก็นึกไม่ออก หวังว่าจะไม่ใช่...
ฉันสะบัดหัวอย่างแรง ส่องกระจกมองรอยดังกล่าวอีกครั้ง...
ไม่ว่าจะคิดยังไงตัวเลือกในใจก็มีแค่เขา แต่เมื่อวานปฏิกิริยาของเขาทำเหมือนรังเกียจฉันเสียขนาดนั้นจะมาทำรอยแบบนี้ได้ยังไง
โอ๊ยยย คิดไม่ออกเลยอ่า
ฉันเกาหัวตัวเองอย่างแรงด้วยความโมโหและโกรธตัวเองที่ปล่อยให้เมาจนขาดสติ
แต่อื่นใดคือฉันจะปล่อยให้คนอื่นเห็นรอยนี้ไม่ได้เด็ดขาด คิดได้ดังนั้นฉันก็รีบเดินออกจากห้องน้ำอาศัยช่วงที่ขนมปังยังหลับแอบหยิบรองพื้นของเพื่อนมาโปะต้นคอ ใช้เวลาอยู่สักพักก็กลบรอยดังกล่าวได้จนเกือบมิด
เหลือไว้เพียงรอยแดงๆ เล็กน้อยคล้ายผื่นที่ไม่ได้สะดุดตาอะไร
ไม่รอให้พี่ชายต้องมารับฉันก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับไปใส่ชุดนักศึกษาของตัวเอง หยิบข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวออกมาจากห้องขนมปังโดยไม่ลืมส่งข้อความบอกเพื่อนว่าจะกลับก่อน ย่องลงมาถึงชั้นล่างก็รีบคว้ารองเท้าผ้าใบขึ้นมาสวม
ขณะกำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าเสียงทุ้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง มือชะงักอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับไปมองฉันก็จำได้ดีว่าใครคือเจ้าของเสียงนั้น
“จะกลับแล้วเหรอ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ค่ะ” ฉันตอบกลับสั้นๆ พร้อมจับปลายเชือกรองเท้าผูกปมต่อ
“เดี๋ยวฉันไปส่ง”
กึก!
หูฝาดไปหรือไง เมื่อวานยังใจร้ายใส่กันอยู่เลยแต่วันนี้กลับมาทำดีด้วย
ฉันผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็ลุกขึ้นยืนหันไปมองหน้าพี่พนา วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีกรมกับกางเกงขาสั้นสีขาว ดูสบายๆ แต่กลับมีเสน่ห์น่ารักไปอีกแบบ แต่เดี๋ยวสิ! มันใช่เวลามาชื่นชมเขาไหมเนี่ยน้ำเอ้ย
“ไม่ต้องหรอกค่ะ น้ำกลับเองได้”
พอฉันพูดจบพี่พนาก็มองหน้าฉันนิ่งๆ ไม่ถึงสามวินาทีข้อมือฉันก็ถูกมือหนาอีกคนดึงให้เดินตามเขาออกมา
“จะพาหนูไหนเนี่ย” ฉันโวยวายและพยายามจะสะบัดข้อมือออก แต่เขากลับจับไม่ยอมปล่อย
“โอ๊ยพี่พนาน้ำเจ็บ!”
มาถึงรถสปอร์ตคันหรูสีแดงตระหง่านกลางโรงจอดรถ ฉันก็สะบัดข้อมือออกอย่างแรงพร้อมกับตะคอกใส่หน้าพี่พนาจนเขานิ่งไป
ตอนแรกที่เห็นหน้าเขาฉันก็ตกใจเล็กน้อยที่ดันพลั้งปากตะคอกออกไปแบบนั้น แต่พอคิดได้ว่าเมื่อคืนเขายังพูดแรงๆ ทำร้ายจิตใจฉันได้เลย ความรู้สึกผิดที่เริ่มก่อตัวขึ้นก็มลายหายไป
“อย่าดื้อได้ไหมสายน้ำ”
“น้ำไม่ได้ดื้อก็แค่จะกลับหอพัก พี่นั่นแหละเป็นบ้าอะไรเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายน้ำเอาใจไม่ถูกหรอกนะ”
“...”
“ถ้าพี่ไม่ชอบก็อย่ามายุ่งกับน้ำ” ว่าจบฉันก็ไม่รอให้อีกคนพูดต่อรีบสาวเท้าเดินออกมา โชคดีที่พอมาถึงหน้าบ้านก็มีแท็กซี่ที่เพิ่งมาส่งผู้โดยสารบ้านข้างๆ ขับผ่านมาพอดีฉันจึงไม่ต้องรอนาน
เฮ้อ... คิดไปคิดมาแล้วเมื่อวานไม่น่าไปสารภาพรักกับเขาเลย
กลับมาถึงห้องฉันก็รีบอาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรก รอยจ้ำแดงที่คอนี่จะถามเขาดีไหมนะว่าเขาเป็นคนทำรึเปล่า
แต่ถ้าหากถามออกไปแล้วกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำขึ้นมา...เฮ้ออ!!
ฉันเดิ่นงุ่นง้านกลับมานั่งคอตกอยู่บนเตียง ในหัวมีแต่หน้าพี่พนาผุดเข้ามา ตามหลอกหลอนกันชะมัดเลย
ติ้ง!
ระหว่างกำลังหลับตาสลัดเรื่องไร้สาระออกจากสมองเสียงข้อความจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นข้อความจากพนา
ตอนเห็นชื่อหัวใจของฉันเกือบจะหยุดเต้นเลย ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะทักฉันมา
[พนา : ลงมาหาฉันข้างล่าง]
เห็นว่าใครเป็นคนส่งข้อความมาว่าช็อกแล้ว เมื่อเห็นประโยคที่เขาส่งมาช็อกยิ่งกว่า
ฉันรีบวิ่งไปแต่งตัวเปลี่ยนชุดใหม่ที่ไม่ใช่กางเกงขาสั้นจุ๊ดจู๋กับเสื้อกล้ามสีดำ เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จก็คว้าโทรศัพท์และคีย์การ์ดลงไปยังด้านล่างหอพักซึ่งใช้เวลาลงลิฟต์ไม่นานก็เจอพี่พนายืนหันหลังรออยู่หน้าหอพัก
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกเบาๆ เดินย่างเข้าไปหาเขาจากทางด้านหลัง มาถึงก็สะกิดไหล่เรียก
ทันทีที่เห็นหน้าฉันพี่พนาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับถือวิสาสะใช้ปลายนิ้วเย็นเกลี่ยรอยจ้ำแดงที่บริเวณต้นคอ
เมื่อกี้รีบๆ จึงลืมไปเสียสนิทเลยว่ายังไม่ได้ปกปิดรอยดังกล่าว
“เหมือนจะจางลงแล้วนะ”
ฟึบ!
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ฉันก็หันมองหน้าเขาทันที
“รอยนี้เป็นฝีมือพี่เหรอ”
“อืม” เขาผละมือออกเอามาล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองแทน
“ที่มาหาเพราะจะมาขอโทษเธอเรื่องนี้แหละ” สีหน้าเขาดูรู้สึกผิดจนฉันพูดไม่ออกเลย
ไม่รู้ว่ารู้สึกผิดที่ทำให้ฉันมีรอยประทับนี้ หรือรู้สึกผิดที่ทำแบบนี้กับฉันกันแน่
“...”
“ฉันมาพูดแค่นี้แหละ”
“เดี๋ยวค่ะพี่พนา!” ปฏิกิริยาของร่างกายทำให้ฉันเอื้อมมือไปรั้งข้อมือเขาไว้
“เรื่องของเราจะไม่มีวันเป็นไปได้เลยเหรอคะ พี่จะไม่มีโอกาสชอบน้ำเลยเหรอ” หัวใจฉันเต้นแรงราวจะหลุดออกมา ลุ้นว่าอีกคนจะตอบเช่นไร
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เอ่ยตอบทำเพียงยกยิ้มบางให้ฉันก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถและขับออกไป
พนา Talk
ผมขับรถออกมาด้วยความรู้สึกสับสน หากเป็นก่อนหน้านี้ผมคงบอกเด็กนั่นไปแล้วว่าจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้อีก แต่หลังจากจูบกันผมกลับสลัดรอยจูบเธอทิ้งไม่ได้เลย จนเมื่อคืนที่เผลอจูบเธอซ้ำอีกครั้ง
ตอนนั้นยังเผลอคิดเกินเลยกับเธอไปด้วยซ้ำ ผมห่างเรื่องอย่างว่าจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
และก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนถูกเธอโมโหใส่ผมถึงรู้สึกเจ็บแปร๊บในใจแปลกๆ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเลยไม่คิดว่าตัวเองจะว้าวุ่นกับคำพูดเธอได้ถึงขนาดนี้ แถมยังแจ้นมาหาเธอถึงหอพักอีก
“คงไม่ได้ชอบยัยเด็กผมเปียเข้าแล้วหรอกนะ”
ครืนนนน
โทรศัพท์ผมสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง เมื่อกดรับสายผ่านหูฟังที่เชื่อมต่อกันก็พบว่าคนที่โทรมาคือเพื่อนเก่าผมเอง
“ฮัลโหล”
(มึงว่างไหมวะกูขอคุยด้วยหน่อยดิ)
มันเป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย อยู่กลุ่มเดียวกัน
“อืม”
(เรื่องเมื่อวานกูขอโทษนะเว้ยที่ชวนไอ้อาทิตย์กับครีมมาด้วย กูไม่รู้จริงๆ ว่าพวกมึงมีเรื่องกันมาก่อน)
“ไม่เป็นไรไม่ใช่ความผิดมึง”
(กูเห็นมึงเดินหนีออกไปแบบนั้นรู้สึกไม่ดีจริงๆ ไอ้พวกนี้ก็ปากเปราะมึงอย่าไปถือสาพวกมันเลยนะเว้ย)
“อืม มึงเลิกรู้สึกผิดได้ละกูต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำลายงานเลี้ยงมึง”
(เรื่องเล็กมึง อีกอย่างก็ไม่ได้ทำลายอะไรเลยเพราะหลังจากมึงออกไปพวกมันก็สนุกกันต่อได้ มีแต่มึงนั่นแหละ...ตอนนี้โอเคยังวะ)
“มีอะไรให้ไม่โอเคล่ะ”
(อย่าหาว่ากูเสือกเลยนะ สรุปความสัมพันธ์ของมึง ไอ้อาทิตย์และครีมเป็นยังไงกันแน่วะ)
“กูขับรถอยู่อ่ะไว้ค่อยโทรหามึงนะ”
ตัดจบประโยคเสร็จผมก็กดวางสาย ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก