“พี่พนา”
ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของฉัน พี่พนาก็เงยหน้าขึ้นมามองแววตาเหมือนจะตกใจเล็กน้อย แต่มองแบบนั้นฉันไม่มั่นใจเลยสักนิด เดิมทีที่หยิบชุดนี้ออกมาใส่ก็เขินจะตายอยู่แล้ว
แต่ฮึบไว้น้ำเขาไม่ชอบเด็กดังนั้นทำตัวโตหน่อย ฮึบ!
“ทำไมถึงใส่ชุดแบบนี้ล่ะ”
“ไม่สวยเหรอคะ”
เขามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าเหมือนจะงงๆ
“ก็สวยนะแต่มันดูไม่เข้ากับเธอ”
“งั้นน้ำไปเปลี่ยนดีกว่า” หมดกันความมั่นใจทั้งหมดของวันนี้
ได้ไปเที่ยวกับเขาสองต่อสองทั้งทีดันทำพังตั้งแต่ยังไม่เริ่ม รู้อนาคตเลยสายน้ำเอ้ย ไม่น่าทำตัวกระโตกกระตากหยิบชุดเว่อร์ๆ ตัวนี้ขึ้นมาใส่เลย
“ไม่ต้องแล้ว ไปชุดนี้แหละ”
“แต่พี่บอกว่ามันไม่เข้ากับน้ำ”
“มันไม่เข้าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอใส่แล้วไม่สวยนะ”
เพราะเขาเป็นแบบนี้ไงฉันเลยเดาไม่ได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวจูบเดี๋ยวด่า เดี๋ยวชมเดี๋ยวติ อยากร้องเพลง ‘จะรักหรือจะร้าย’ ของพี่เคลียร์ให้ฟังเสียจริงๆ
บนรถฉันนั่งกระดุกกระดิกไปมาจนถูกคนขับหันมองอยู่หลายครั้ง เพราะเมื่อนั่งลงแล้วไอ้กระโปรงที่คิดว่ายาวมาตลอดมันดันร่นขึ้นมาอีกจนเผยให้เห็นต้นขาอ่อน บอกตามตรงเลยว่าแอบหนาวอยู่นะ แถมไอ้รถหรูคันนี้ยังก้าวขึ้นก้าวลงลำบากอีก หากไม่ระวังประชาชีได้เห็นกางเกงในสีชมพูพริ้งพรายของฉันพอดี
ชมพูยันกางเกงใน ปฏิเสธว่าไม่ชอบก็คงไม่ได้แล้ว อีกอย่างมันยังเป็นลายดอกไม้ด้วย สาบานได้เลยว่าฉันไม่มีทางให้ใครได้เห็นความลับนี้แน่นอน
ฟึ้บ!
เห็นฉันดุ๊กดิ๊กอยู่นานพี่พนาเลยใจดีหยิบเสื้อสูทที่พาดอยู่บนเบาะฝั่งคนขับโยนมาให้ฉันคลุมเข่า
เอาล่ะนั่งฉีกขาได้เต็มที่ไม่มีใครเห็นละ
“ขอบคุณนะคะพี่พนา”
เขาไม่ได้เอ่ยตอบทำเพียงเหล่มองฉันด้วยหางตาและมุ่งหน้าขับรถต่อไป ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผีเข้าผีออกจริงๆ เพราะตอนโทรหาฉันก่อนหน้านี้ยังมีท่าทีอ่อนหวานอยู่เลย ตัดภาพมาตอนนี้ตึงเปรี๊ยะเสียยิ่งกว่าฉีดโบท็อกช์อีก จะยิ้มให้หน่อยก็ไม่ได้
เห็นอีกคนไม่พูดฉันจึงอยู่นิ่งๆ มองข้างทาง แต่นิ่งได้ไม่ถึงสองนาทีก็เริ่มรู้สึกอึดอัดเพราะมันเงียบเกินไปจึงเอื้อมมือไปเปิดเพลงฟัง ซึ่งเปิดมาแต่ละเพลงก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าคนฟังกำลังอกหัก เศร้าเกิ๊น
ฉันจัดการเปลี่ยนเพลงเป็นจังหวะสนุกพร้อมเซิ้งแทน เริ่มด้วยเพลงสัญญาเดือนหกแบบปังๆ เอาจริงก็เพิ่งมาฟังเพลงแนวนี้ตอนงานเฟรชชี่ไนท์ที่เพิ่งผ่านไปเนี่ยแหละ
เพลงขึ้นปุ๊บพวกเพื่อนๆ นักศึกษาก็ลุกขึ้นเต้นปั๊บ ไอ้ฉันก็เป็นพวกเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามเลยออกสเต็ปขาแดนซ์จนลืมไปเลยว่าตัวเองเคยเป็นคนเรียบร้อยมาก่อน
“สไตล์เธอเหรอ” อีกฝ่ายเอ่ยถามซึ่งฉันก็เห็นนะว่าพี่พนาแอบยิ้ม โดนเพลงที่ฉันเปิดตกเข้าให้แล้วล่ะสิ
“ค่ะ”
ฉันตอบสั้นๆ เก็บอาการ ที่จริงตอนหันไปเห็นเขายิ้มเมื่อกี้ก็แทบอยากจะกรี๊ดแล้ว คนบ้าอะไรยิ้มน่ารักชะมัดแต่กลับชอบทำหน้าบึ้ง (เฉพาะกับฉัน) เพราะกับพี่ขนมผิงและขนมปัง พี่พนาอ่อนโยนมาก มากแบบก.ไก่ล้านตัว
จนเผลอคิดไปว่าจะดีสักแค่ไหนกันนะหากพี่พนาลูบหัวฉันเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไงตัวเล็ก”
เฮ้อแค่คิดก็ฟินแล้ว วาสนาพี่ขนมผิงแท้ๆ ที่มีพี่ชายอ่อนโยนขนาดนี้ แต่พี่ขนมผิงก็น่าทะนุถนอมจริงนั่นแหละ ส่วนฝั่งขนมปังก็หยอกล้อเล่นกับพี่พนาจนน่าอิจฉา เวลาถูกเรียกว่าไอ้แสบ มันน่ารักมากเลยนะ
“นั่งมะโนอะไรหื้ม”
โป้ก!
หัวฉันถูกอีกฝ่ายใช้ข้อนิ้วเคาะเบาๆ เรียกสติ
“เคาะแบบนี้ถ้าหนูความจำเสื่อมหรือเอ๋อขึ้นมาจะทำยังไง พี่จะดูแลหนูไหมล่ะ”
“ถ้าทำแค่นี้แล้วเธอพิการพี่ยอมลาออกจากงานมาดูแลเธอเลย”
“พี่พูดละนะ!”
ฉันหันไปทำตาโตใส่พี่เขาซึ่งก็ไม่รู้ว่าไอ้ท่าทางประหลาดนี้ไปโดนจุดอะไรเข้าพี่พนาถึงได้หลุดหัวเราะออกมา
และใช่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พี่พนาหัวเราะเพราะฉัน ดีจัง..
ฉันมองพี่เขาหัวเราะก็หลุดยิ้มตาม ปกติแววตาพี่พนาจะดูเศร้าแต่ครั้งนี้แววตาเขากลับดูมีความสุขกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ฉันรู้นะว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นเพราะพี่ขนมผิงเล่าให้ฟังหมดแล้ว ฟังจบฉันก็โกรธพี่ครีมอะไรนั่นมากเลยนะที่ทำกับพี่พนาแบบนั้น แต่ในทางกลับกันก็นึกอิจฉาพี่เขา...อีกฝ่ายต้องดีขนาดไหนกันถึงได้ทำให้พี่พนายอมมีเขาแค่คนเดียวมาตั้งหลายปี ทั้งที่เขาไม่เคยมีพี่พนาอยู่ในใจเลยด้วยซ้ำ
ถ้าเปลี่ยนให้ฉันเป็นพี่คนนั้นคงจะทะนุถนอมความรู้สึกพี่พนาเป็นอย่างดีไม่ให้บอบช้ำเด็ดขาด เพราะสำหรับฉันพี่เขาเหมาะกับรอยยิ้มสดใสมากกว่าท่าทางเคร่งขรึมไม่มีความสุขแบบนี้
“เธออยากกินอะไร”
มัวแต่พะวงเรื่องการแต่งตัวจนลืมดูเวลาเลยว่าตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว
“อะไรก็ได้ค่ะ”
“ไม่มีขาย และที่สำคัญพี่ไม่ชอบคำตอบนี้สักเท่าไหร่”
เอ้า! ก็คนมันอะไรก็ได้จริงๆ นี่นา แต่ช่างเถอะเรื่องกินฉันถนัดอยู่แล้ว
“ราแมงค่ะ”
ยอมรับว่ายังรู้สึกเมาค้างอยู่นิดๆ และอยากหาอะไรร้อนๆ แซ่บๆ กระดกลงคอมาก เผื่อไอ้อาการพะอืดพะอมจะได้ดีขึ้น
“ยังเมาค้างหรือเมารถ?”
ตอบว่าเมาค้างก็รู้สึกอายจัง ไม่อยากย้อนกลับไปคิดเลยว่าเมื่อวานฉันทำเรื่องน่าอับอายอะไรลงไปบ้าง แต่พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็น่าสงสัยอยู่นะว่าทำไมจู่ๆ พี่พนาถึงได้ประทับรอยจ้ำแดงนั่นที่ต้นคอฉันได้ หรือว่า...
ฉันเบิกตาโตมองคนขับที่หันมาสบตาพอดี
“อะไร?”
“เมื่อคืน...เราไอ้นั่นกันเหรอคะ”
“ห้ะ?”
“หนูถามว่าเมื่อคืนเรามีอะไรกันเหรอ”
“แคร่กๆ!!”
นั่น!! พอถามปุ๊บมีพิรุธปั๊บ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นในกอไผ่แน่ๆ แต่ฉันเสียซิงตอนเมาเนี่ยนะไม่น่าจะใช่มั้ง...เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาก็ยังปกติไม่ได้เจ็บตรงจิมินี่นา
“คิดทะลึ่งอะไรของเธออยู่เนี่ยยัยเด็กต๊อง”
“ก็พอถามแล้วพี่มีพิรุธอ่า บอกมาเหอะหนูทำใจได้ไม่ซีเรียสหรอก”
“เห็นพี่เป็นคนยังไงเนี่ย คิดว่าพี่ไร้ศีลธรรมจะทำเรื่องแบบนั้นกับคนเมาหรือไง”
“อ้าว ก็รอยที่คอมันฟ้องนี่นาจะคิดก็ไม่แปลกใช่ไหมล่ะ”
“เฮ้ออ” พี่พนาถอนลมหายใจยาวทำเอาฉันถอนหายใจตามด้วยอีกคน
“ถอนหายใจทำไม”
“เสียดาย..เอ้ย! โล่งใจ ใช่ๆ หนูโล่งใจที่ตัวเองยังบริสุทธิ์อยู่” เกือบกลับลำไม่ทันเลยสายน้ำ
“เธอยังบริสุทธิ์อยู่แน่นอน”
“แล้วรอยนี่มันมาได้ยังไงเหรอคะ” ฉันสัมผัสต้นคอบริเวณรอยดังกล่าวที่ตอนนี้ถูกกลบด้วยรองพื้น
“จะให้เล่าจริงเหรอ”
“จริงสิคะ”
ฉันมองอีกคนตาแป๋วเป็นลูกแมวใคร่อยากรู้ แต่เขากลับมองฉันด้วยแววตามีเลศนัยแถมยังยกยิ้มมุมปากอีก
“พี่ว่าเธอไม่อยากรู้หรอก”
พูดแบบนี้อย่าบอกนะว่า...
“หนูเป็นคนเริ่มเหรอคะ”
“รู้ตัวด้วยแฮะ”
ปึง!
จบกัน...ตอนนี้ฉันขออนุญาตตามหาถังปี๊บด่วน รู้สึกไม่อยากรู้แล้วล่ะ...
“อยากให้พี่เล่าอยู่ไหม”
“เอ่อ...มันแย่มากไหมคะ”
“อะไรแย่?”
“ก็ภาพรวมนั่นแหละ หนูไม่รู้นี่ว่าทำอะไรลงไปบ้าง คงไม่ได้ทำตัวแย่ๆ ใส่พี่หรอกใช่ไหม”
เอาอีกแล้ว เขาอมยิ้มมีเลสนัยอีกแล้ว แบบนี้มันแปลว่าฉันทำตัวแย่ๆ ใส่เขาไหมเนี่ย คงไม่ได้ต่อยหรือเตะผ่าหมากกลางหว่างขาเขาใช่ไหม หรือไม่ได้จะ จูบ...เขาซ้ำใช่ไหม...
ว่าแล้วก็รู้สึกเหมือนจะจำได้รางๆ ว่าจูบพี่พนาซ้ำอีกครั้ง แต่นั่นฉันคิดว่ามันเป็นความฝันมาตลอดและไม่แปลกใจด้วยที่ฝันแบบนั้น เพราะก่อนหน้านี้เราก็จูบกัน แต่ในฝันฉันจำได้ว่าจูบเขาเก่งมากเลยนะไม่ได้เงอะงะเหมือนตอนแรก
แต่ถ้านั่นไม่ใช่ฝันก็แปลว่า...
“นะ หนูได้จูบพี่ซ้ำไหม”
“หึ! จำได้แล้วเหรอ”
ปึง! อีกสักรอบ
ปี๊บค่ะ ประกาศตามหาแบบด่วนๆ ตอนนี้ไม่มีหน้ามองคู่สนทนาแล้วค่ะ อายเหลือเกิน ทำอะไรลงไปเนี่ยสายน้ำเอ้ย!!
“ความจริงก็ไม่ได้แย่นะ”
“คะ?”
“พี่หมายถึงจูบครั้งที่สองน่ะ ยังเงอะงะอยู่บ้างแต่ก็รู้สึกแปลกๆ ดี”
ฉันยังคงขมวดคิ้วทำหน้า งง เพราะไม่เข้าใจว่าไอ้คำว่าแปลกๆ ดีนี่เป็นคำชมหรือว่าคำติกันแน่ แต่ดูจากหน้าแล้วก็คงไม่ได้แย่จริงๆ นั่นแหละ
เฮ้อโล่ง!
“เธอยังอยากได้คำตอบไหม”
“หืม?”
“ก็ที่เธอถามแล้วพี่ไม่ได้ตอบไง”
สิ้นเสียงของพี่พนาประโยคหนึ่งที่เคยเอ่ยถามค้างไว้ก็ลอยเข้ามาในหัว
‘เรื่องของเราจะไม่มีวันเป็นไปได้เลยเหรอคะ พี่จะไม่มีโอกาสชอบน้ำเลยเหรอ’
“พี่มีคำตอบให้หนูแล้วเหรอ”
“อืม”