เพ้นท์เฮ้าส์สุดหรูย่านใจกลางเมืองในทำเลทอง บนชั้นสูงสุดภายในห้องนอนสีเทาสไตล์โมเดิร์น
บนเตียงนอนตอนนี้ ถูกแผดเผาไปด้วยเพลิงสวาท ที่สาดกระหน่ำเข้าใส่เจ้าของห้อง
“บะ...เบา...อ้ะ...หน่อยได้ไหม” เสียงครางกระเส่า เคล้าเสียงครางขอร้องให้เห็นใจ ดังขึ้นในช่วงกลางดึกที่ผู้คนหลับสนิทในห้วงนิทรา ทว่ากลับไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มที่สาดความดุดันเข้าใส่ปรานีเลยสักนิด
“แน่ใจเหรอ ว่าอยากให้ฉันทำเบาๆ...อ่า... แอ่นสะโพกขึ้นมา”
ร่างบอบบางขาวอมชมพู แทบจะจมหายไปกับเตียงนอน เมื่อถูกเรือนร่างกำยำคร่อมทับอยู่ทางด้านหลัง
มือหนารั้งสะโพกผายสีแดงระเรื่อจากการบีบขยำขั้น เอวสอบขยับโยกใส่ไม่ยั้ง ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้า จะรับความรุนแรงนี้ได้หรือไม่ เพราะต่อให้ผู้หญิงคนนี้ต้องแหลกลาญคามือ ชายหนุ่มก็ไร้ความเห็นใจ
ในเมื่อเธอเลือกที่จะเดินเข้ามาในชีวิตเขา ทั้งที่เขาบอกไปตั้งแต่ต้นว่าไม่ต้อนรับ
แต่เธอก็ยังดื้อรั้นจะเดินเข้ามาด้วยความเต็มใจ หากจะแหลกลาญเพราะน้ำมือของเขา ก็ไม่ผิดไม่ใช่หรือไร
“แน่นฉิบ...อีกนิดเดียว” เสียงแหบพร่าหลุดออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูป หน้าท้องที่อัดแน่นด้วยมัดกล้ามเกร็งค้าง เมื่อได้ปลดปล่อยความเครียดจากการทำงาน ก่อนจะขยับตัวออกห่างจากร่างบอบบางอย่างไม่ไยดี
พึ่บ
โยนผ้าห่มมาคลุมร่างบาง ที่นอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงนอน
เจ้าของเรือนร่างกำยำจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้า เดินเปลือยเปล่าออกจากห้องนอนของหญิงสาว ไปยังห้องตัวเองที่อยู่ข้างกัน
ปราศจากคำพูดใดสักคำ ทำเหมือนหญิงสาวคือเครื่องบำบัดความใคร่ เมื่อเสร็จกิจก็เดินจากไป
ทั้งที่ผู้หญิงคนนี้ ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นเช่นนี้มาร่วมครึ่งปีเห็นจะได้ หลังจากที่คนทั้งสองแต่งงานกัน
การแต่งงานที่แสนเรียบง่าย ไร้แขกรับเชิญ มีเพียงคู่บ่าวสาว มารดาของไฟซาลและพี่ชายเท่านั้น ที่ร่วมพิธียกน้ำชาและแลกแหวนแต่งงานแบบส่งๆ
เพราะแหวนแต่งงานวงนั้น หลวมจนหลุดออกจากนิ้วของมารีน ทันทีที่หญิงสาวลุกขึ้นยืน
ทว่าไฟซาลก็ไม่ได้สนใจ อีกทั้งยังสาดประโยคเจ็บแสบใส่หน้า จนมารีนหน้าชา
“ฉันจะบอกเธออีกครั้ง ว่าต่อให้เธอกับฉันแต่งงานกัน ต่อให้เธอทำดีกับฉันแค่ไหน หัวใจของฉันก็ไม่มีวันรักเธอ เพราะผู้หญิงที่ฉันรักมากที่สุดก็คือปลายวาด ส่วนเธอก็เป็นได้แค่นางบำเรอตีทะเบียน ที่ไม่มีวันมาแทนที่ปลายวาดได้ เพราะฉะนั้นอย่าหวังสูง ว่าฉันจะเอาเธอออกมาเชิดหน้าชูตา และอย่าล้ำเส้นที่ฉันขีดไว้ จำให้ขึ้นใจ ว่านอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนของฉัน จะไม่มีใครรู้ทั้งนั้น ว่าเธอกับฉันเป็นอะไรกัน ทนได้ก็ทน แต่ถ้าทนไม่ได้ก็รีบออกไปจากชีวิตฉัน”
มารีนลงจากเตียงนอนเพื่อเข้าห้องน้ำ มองตัวเองที่สะท้อนในกระจก มุมปากกดลงเล็กน้อย ด้วยความสมเพชเวทนาตัวเอง นัยน์ตาแดงก่ำเคลือบด้วยหยาดน้ำตา
ตลอดเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ไฟซาลยืนยันในสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ว่าเขามองเธอเป็นแค่นางบำเรอไม่ใช่ ‘ภรรยา’
แม้จะมีทะเบียนสมรสก็เหมือนไร้ค่า เพราะเธอถูกยกสถานะให้เป็นแค่เมียเก็บที่มีตราประทับเท่านั้น
“คุณไฟจะไปไหนคะ” มารีนเอ่ยถาม เมื่อเปิดประตูห้องออกมาเจอไฟซาลแต่งตัวคล้ายจะออกไปข้างนอก ทั้งที่ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว
“ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน เธอไม่ต้องมายุ่งวุ่นวาย อยากได้ฉันเป็นผัวฉันก็เอาให้แล้วไง เพราะฉะนั้นอย่ามาล้ำเส้นที่ขีดไว้ให้มันมาก เพราะฉันอาจจะทำให้เธอรู้ ว่าการตกนรกทั้งเป็นมันเป็นยังไง แต่ฉันก็ยังยืนยันคำเดิม ว่าถ้าเธอทนไม่ไหวก็ออกไปจากชีวิตฉันได้เลย ต้องการเงินเท่าไหร่ก็บอกมา เพื่อแลกกับอิสรภาพของฉัน”
“มาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น มาจะอยู่กับคุณที่นี่ และที่มาถามก็เพราะว่ามาเป็นห่วงคุณเท่านั้น” คนฟังหัวใจกระตุกวูบขึ้นมา แต่เพียงเสี้ยวนาทีก็ถูกแทนที่ด้วยความเฉยชา
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เอาตัวเองให้รอด แล้วค่อยมาห่วงคนอื่น” พูดจบ ไฟซาลก็จากไป ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศอ้างว้างและเหน็บหนาวที่แผ่กระจายไปโดยรอบ
เธอควรชินกับมันได้แล้วมารีน เพราะนี่คือทางที่เธอเลือกเอง เธอเลือกที่จะเดินเข้ามาในกองเพลิงนี้ ทั้งที่เธอก็รู้ว่าไฟกองนี้มันร้อน จนอาจแผดเผาเธอให้ขาดใจตายได้สักวัน
มารีนหันมองไปยังรูปถ่ายของผู้หญิงที่ไฟซาลรักหมดใจ หญิงสาวเดินเข้าไปยืนมองรูปขนาดใหญ่ที่แขวนบนผนัง ไล่สายตาดูรูปคู่ที่ทั้งสองคนถ่ายด้วยกัน ก้อนสะอื้นก็ตีตื้นมาจุกที่ลำคอ
แม้จะได้มาอยู่ร่วมห้องกับไฟซาล ทว่าทุกพื้นที่ในเพ้นท์เฮ้าส์แห่งนี้ กลับมีแต่ความทรงจำของไฟซาลกับคนที่เขารัก
และที่เขาให้เธอเข้ามาอยู่ที่นี่ คงเพราะต้องการตอกย้ำให้เธอรู้และไม่ลืม ว่าคนที่เขารักมากที่สุดและจะรักตลอดไปก็คือ...
“มาอิจฉาคุณปลายจังเลยค่ะ แม้ตัวคุณไม่อยู่ แต่คุณไฟก็ยังรักคุณเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”