ณ สถานบันเทิงชื่อดังระดับไฮเอนด์ แขกที่เข้ามาใช้บริการส่วนมากล้วนเป็นนักธุรกิจ นักการเมือง ผู้บริหารระดับสูง หรือบุคคลที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เพราะที่นี่ผู้คนไม่พลุ่งพล่าน สามารถคุยงานหรือเจรจาธุรกิจได้
และหนึ่งคนที่เข้ามาใช้บริการในคลับแห่งนี้ก็คือ ไฟซาล ที่ออกมาดื่มเพื่อดับอารมณ์คุกรุ่นที่ระอุในอก วิสกี้รสชาติเยี่ยมจึงถูกสาดลงคอแก้วแล้วแก้วเล่า
“คุณชายเล็ก เป็นห่าอะไรครับ มาถึงก็กระดกแก้วอย่างเดียว ไม่พูดไม่จา” พฤกษ์ เพื่อนสนิทของไฟซาลเอ่ยถาม และยังเป็นเจ้าของคลับแห่งนี้ด้วย
“เบื่อ”
“แม่หรือเมีย” เพราะในชีวิตของไฟซาล คงจะมีแค่สองอย่างนี้แหละ ที่ทำให้ชายหนุ่มเบื่อได้
“ถ้าให้กูเดา คงเป็นเมีย” ธนินเพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มเอ่ยเย้ายิ้มๆ ทว่าคนถูกเย้าไม่ได้ตลกเลยสักนิด ตวัดสายตาคมมองเพื่อนรักอย่างเอาเรื่องด้วยซ้ำ ที่พูดจาไม่รื่นหูเอาเสียเลย
“กูมีแม่แต่ไม่มีเมีย รู้เอาไว้ด้วยเผื่อมึงลืม” ธนินเบะปากใส่เพื่อนอย่างหมั่นไส้ หันมายักคิ้วให้พฤกษ์ยิ้มๆ
“แล้วน้องมาคือ?” เป็นพฤกษ์ที่เอ่ยถามหน้าซื่อ แต่แววตาไม่ได้ใสซื่อแต่อย่างใด ยิ่งทำให้คนอารมณ์เสียหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
“ตุ๊กตายาง ที่ระบายอารมณ์ นางบำเรอที่อยู่ในความลับ”
“ฉิบ!! ปากมึงนี่นะ มันน่าให้น้องมาเอาเท้ายัดจริงๆ” ธนินเอ่ย
“ก็กูพูดเรื่องจริง มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้ชอบผู้หญิงคนนั้น แต่เธอก็เลือกที่จะเดินเข้ามาในชีวิตกูเอง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ากูไม่ได้รัก สถานะที่กูยกให้มันก็เหมาะสมดีแล้วไม่ใช่หรือไง” ธนินและพฤกษ์หันมองหน้ากัน
ไม่รู้เรื่องนี้ใครที่น่าสงสารที่สุดกันแน่ เพื่อนของเขาสองคน หรือว่ามารีนที่เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาในชีวิตไฟซาล
“แต่มึงก็ยังยอมแต่งงานกับน้องตามที่แม่มึงบังคับ” พฤกษ์พูด
“กูก็แค่อยากทำให้ผู้หญิงคนนั้นรู้ ว่าการแต่งงานกับคนอย่างกูมันไม่ใช่เรื่องสนุก หรือเรื่องดีอย่างที่เธอเข้าใจ กูไม่รู้หรอกนะ ว่าแม่กูไปขายฝันอะไรให้ผู้หญิงคนนั้น เธอถึงได้ยอมมาแต่งงานกับกูแบบนี้ แต่ถ้าแม่กูขายฝัน กูนี่แหละที่จะเป็นคนปลุกให้ผู้หญิงคนนั้นตื่นจากฝันเอง”
“เชี่ย! ขนกูลุกนะเนี่ย” ไม่ได้พูดเล่น แต่ธนินขนลุกจริงๆ และยังยื่นแขนไปให้พฤกษ์ดูด้วยซ้ำ
“กูอยากให้มึงเลิกจมอยู่กับความทุกข์ และความแค้นสักที ไอ้เหี้ยฟู่มันก็ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นลองเปิดใจให้น้องมาดูไหม ไม่แน่นะ บางทีน้องมาอาจจะทำให้ชีวิตมึงกลับมาสดใสเหมือนเมื่อก่อน หัวใจที่มันตายด้าน อาจจะกลับมาเต้นแรงก็ได้” ไฟซาลไม่ตอบ แต่กระดกแก้วเหล้าในมือจนหมด
“หรือบางที หัวใจมึงอาจจะเต้นแรงขึ้นมาแล้วก็ได้ แต่มึงแค่ไม่ยอมรับ” ธนินเอ่ยเสริมยิ้มๆ
“ไร้สาระ”
“ไม่คิดว่าความใกล้ชิด ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น จะทำให้มึงรักน้องมาเข้าสักวันเหรอ ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันทุกวัน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน มันก็ต้องมีความรู้สึกดีๆ ให้กันบ้างล่ะ จริงไหม” ไฟซาลเหลือบหางตามองพฤกษ์ ไม่คิดว่าคนที่ดูมีเหตุและผล จริงจังกับทุกเรื่องจะมาถามอะไรไร้สาระแบบนี้ได้
“กูไม่คิดว่าคำถามนี้ จะหลุดออกมาจากปากมึงนะพฤกษ์ ถ้าเป็นไอ้ธนินกูจะไม่แปลกใจเลย”
“ทำไมวะ” ธนินเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทว่าพฤกษ์เพียงแค่กดยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“กูถามเพื่อให้มึงระวัง” ไฟซาลกระดกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มจนหมด และวางลงตามเดิม
“มึงก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าครึ่งปีที่ผ่านมากูยังเหมือนเดิมไหม”
“พวกมึงคุยอะไรกันวะ กูไม่เข้าใจ” ไฟซาลและพฤกษ์ทำเสียงฟึดฟัดในลำคอและส่ายหน้าให้ธนิน
“มึงไม่น่าเป็นหมอนะเอาจริงๆ” พฤกษ์พูดพร้อมกับยื่นมือมาตบบ่าเพื่อนเบาๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็ลุกจากโต๊ะไป ธนินก็ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ตามหลัง กว่าจะหลุดเสียงพูดออกมาเพื่อนก็เดินไปไกลแล้ว
“ไอ้ ไอ้...ไอ้พฤกษ์ ที่มึงพูดหมายความว่าไงวะ ทำไมกูเป็นหมอไม่ได้วะ... ไอ้ไฟ ที่พฤกษ์มันพูดหมายความว่ายังไงวะ” ไฟซาลเองก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืนบ้าง
“ก็จริงอย่างที่ไอ้พฤกษ์มันว่า มึงรักษาคนได้จริงปะเนี่ย”
ไฟซาลเดินหายไปอีกคน ทิ้งให้ธนินนั่งงุนงงอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง พร้อมกันนั้นก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ ว่าทำไมเพื่อนทั้งสองถึงพูดว่าเขาไม่น่าเป็นหมอ
“กูเรียนเก่งขนาดนี้ แล้วทำไมกูจะเป็นหมอไม่ได้วะ”
เมื่อเปิดประตูคลับออกมา ไฟซาลสวนทางกับศิลา ที่กำลังจะเดินเข้าไปหาเจ้านายพอดิบพอดี จึงรีบรายงานเรื่องสำคัญให้ทราบ
“เกิดเรื่องแล้วครับเจ้านาย คนที่โกดังโทรมาบอกว่าไฟไหมครับ ตอนนี้พวกมันกำลังช่วยกันดับไฟอยู่ครับ”
“ฉิบหายเอ๊ย!! ไอ้กล้าอยู่ไหน”
“กำลังไปที่โกดังครับนาย”
“ไป!!"