คุณหญิงดุจดาวออกมารอรับลูกชายคนเล็กถึงหน้าบ้าน เมื่อรถยนต์จอดสนิท ศิลาก็รีบลงมาเปิดประตูรถให้เจ้านาย
“กลับมาบ้านได้สักทีนะคะคุณชายเล็กของแม่” เอ่ยเหน็บแนมอย่างไม่จริงจัง เพราะมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า อีกทั้งสองแขนยังอ้าออกกว้าง รอรับตัวลูกชายเข้ามาสู่อ้อมกอด
“คิดถึงคุณแม่ที่สุดเลยครับ” คนเป็นลูกไม่เพียงแค่พูดเอาใจ ยังกดริมฝีปากและจมูก ลงบนแก้มนุ่มหอมกรุ่นของผู้เป็นแม่ทั้งซ้ายและขวา เป็นการยืนยันความคิดถึง
“โตมีเมียแล้วยังขี้อ้อนเป็นเด็กไปได้” ไฟซาลเหลือบสายตามองคนที่มารดาพูดถึงว่าเป็นเมียเล็กน้อย ก่อนจะไหวไหล่ใส่
“ก็แค่เมียที่ผมไม่ได้รัก”
เพี้ยะ!!
“ดูพูดเข้า ไม่รื่นหูเลยสักนิด น้องเสียใจแย่” เพราะจากสีหน้าของมารีนตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเจือนลง ไฟซาลจึงเหลือบสายตามอง
“แล้วยังไงครับ ผมต้องแคร์ด้วยเหรอ”
“ไฟ!!” คุณหญิงดุจดาวกดเสียงต่ำใส่บุตรชาย ที่ยังพูดจาไม่รื่นหูเช่นเดิม
“คุยอะไรกันนานจัง ผมนั่งรอข้างในตั้งนาน”
“เฮีย!!” ไฟซาลร้องเรียกพี่ชาย ที่เดินออกมาหน้าบ้านด้วยความคิดถึง ร่างสูงตรงเข้าไปสวมกอดพี่ชาย เช่นเดียวกับฟินเซอร์ก็สวมกอดน้องชายคืนกลับ
ตระกูลศักดิธัชกุล มีลูกชายสองคน คนโตคือฟินเซอร์ ตอนนี้บริหารธุรกิจอยู่ที่ฮ่องกงและประเทศใกล้เคียง
ส่วนไฟซาลเป็นลูกชายคนเล็ก ที่รับหน้าที่บริหารธุรกิจที่ประเทศไทย คุณหญิงดุจดาวก็คอยบินไปมาระหว่างลูกชายทั้งสอง ส่วนสามีนั้นแอบหนีไปสบายก่อนได้สิบกว่าปีแล้ว
“เฮียมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกผมเลยล่ะ”
“ว่าจะมาเซอร์ไพรส์ก็เลยไม่ได้บอก... สบายดีนะมา” มารีนยิ้มรับพร้อมกับยกมือไหว้
“สบายดีค่ะ คุณฟินสบายนะคะ”
“สบายดีครับ เรียกพี่ว่าพี่เถอะ ไม่ต้องเรียกคุณหรอก ตอนนี้เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
“แต่เว้นผมไว้สักคนนะครับ เพราะผมไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้ มาอยู่ครอบครัวเดียวกันกับเรา”
“ตาไฟ!!” คุณหญิงดุจดาวดุลูกชายคนเล็กอีกครั้ง ก่อนจะหันไปปลอบมารีนที่ยืนหน้าเสียอยู่ข้างกัน
“อย่าไปฟังที่ตาไฟพูดเลยนะลูก”
“คุณแม่ก็ซะแบบนี้ จะโอ๋อะไรหนักหนา” พูดจบไฟซาลก็เดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้คนทั้งสามยืนมองตามหลังไป
“ดูน้องชายเรานะ น่าตีจริงๆ แม่เข้าไปดูในครัวก่อนแล้วกัน” ฟินเซอร์หันมายิ้มให้มารีนอีกครั้ง เมื่อที่ตรงนั้นเหลือกันเพียงสองคน
“รับมือกับน้องชายเฮียไหวไหม” มารีนยิ้มบาง ทว่านัยน์ตากับร้อนผ่าว
แม้จะเป็นประโยคที่แสนธรรมดา กลับทำให้เธออุ่นซ่านในอกอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ไหวก็ต้องไหวค่ะ ในเมื่อมาเลือกที่จะเดินเข้าไปในชีวิตคุณไฟ”
“เฮียเชื่อว่าสักวัน ไฟจะเห็นในความรักที่มามีให้ และยอมเปิดใจให้มา”
“ไม่รู้วันนั้นจะเกิดขึ้นหรือเปล่านะคะ”
“แล้วร้านเป็นยังไงบ้าง”
“ไปได้เรื่อยๆ ค่ะ เริ่มมีลูกค้าประจำบ้างแล้ว” เมื่อเอ่ยถึงสิ่งเดียวที่ทำให้มารีนมีความสุข ใบหน้าของหญิงสาวรวมไปถึงแววตา จึงเปล่งประกายความสุขออกมาอย่างปิดไม่มิด ทำให้ฟินเซอร์เผลอยิ้มตามออกมา
“ดีใจด้วยนะ ถ้าอยากให้เฮียช่วยอะไรก็บอก ถ้าร้านไปได้ดี อยากขยายให้ใหญ่ขึ้นก็ได้ ลองคุยกับไฟดู ให้ไฟช่วยหาทำเลดีๆ ให้”
“มาไม่กล้ารบกวนคุณไฟหรอกค่ะ อีกอย่างคุณไฟก็ไม่ได้สนใจร้านมาด้วยซ้ำ” ตัดพ้อน้อยใจออกมาอย่างลืมตัว
“อย่าคิดมากเลย ถ้าอยากจะขยายจริงๆ บอกเฮียก็ได้ เดี๋ยวเฮียจัดการให้”
“ขอบคุณนะคะ”
“เราก็เหมือนน้องสาวเฮียอีกคน อย่าคิดมาก” ฟินเซอร์วางมือลงบนศีรษะของหญิงสาวและโยกเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“กับเฮียก็ไม่เว้นหรือไง นี่คิดจะอ่อยทั้งพี่ทั้งน้องเลยสินะ” ฟินเซอร์ไม่ได้ตกใจกับเสียงหรือประโยคของน้องชาย ที่ดังมาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า
“มาไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณคิด แล้วมาก็ไม่คิดด้วย ว่าคุณจะคิดอะไรอกุศลแบบนี้ได้ แม้แต่พี่ชายตัวเองก็ไม่เว้น” ไฟซาลอารมณ์เดือดพล่าน เมื่อถูกมารีนยอกย้อนไม่ไว้หน้าต่อหน้าพี่ชายเช่นนี้
“ฉันรู้จักเฮียดีมากกว่าเธอ ฉันมั่นใจว่าเฮียไม่คิดอะไร แต่กับคนอย่างเธอมันก็ไม่แน่”
“คุณไฟ!!”
“พอได้แล้วทั้งสองคน เฮียกับมาไม่ได้มีอะไรทั้งนั้น ไฟก็เลิกมองมาในแง่ร้ายสักที”
“ก็เพราะว่าผมมองเธอในแง่ดีไม่ได้น่ะสิครับ”
“ไฟ! เข้าบ้านเฮียมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย” ฟินเซอร์ดึงแขนน้องชายให้เดินตามเข้าบ้าน ก่อนทั้งสองคนจะเกิดการปะทะมากไปกว่านี้
ฟินเซอร์ลากไฟซาลเข้ามานั่งในห้องรับแขก สองพี่น้องท้องเดียวกัน ทว่านิสัยกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฟินเซอร์สุขุม ใจเย็น น่าเกรงขาม ส่วนไฟซาลใจร้อน เจ้าอารมณ์ แต่ก็ดูน่ากลัว หากสองคนนี้ร่วมมือกันขึ้นมาเมื่อไหร่ รับรองความบันเทิงระดับสิบเลยทีเดียว
เพราะฟินเซอร์เป็นคนเจ้าแผนการ วางแผนงานอย่างรอบคอบ ส่วนไฟซาลก็พร้อมระเบิดทุกอย่างที่ขวางหน้าให้เรียบเป็นหน้ากลอง
“เรื่องโกดังเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีใช่ไหม” ฟินเซอร์เอ่ยถามขึ้น หลังจากทราบเรื่องจากน้องชายที่โทรศัพท์ไปเล่าให้ฟัง ไฟซาลผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพื่อปรับอารมณ์ที่คุกรุ่นให้เย็นลง
“เรียบร้อยครับ วันนี้ผมเพิ่งให้ไอ้กล้าไประเบิดโกดังมันมา” แววตาคนพูดเต้นระริกแวววาว เมื่อเอ่ยถึงความสนุกที่ตัวเองให้ลูกน้องไปจัดการ ฟินเซอร์เพียงแค่อมยิ้มน้อยๆ เท่านั้น
“เฟยหลงเหรอ”
“ใช่ครับ นอกจากมันผมก็ไม่มีศัตรูที่ไหนอีก ที่กัดผมไม่ปล่อยแบบนี้”
“เฮียว่ามันคงไม่จบแค่นี้หรอก มันอาจจะเงียบหายไปสักพัก แล้วค่อยกลับมาเล่นงานเราเหมือนเดิม”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แล้วฝั่งเฮียล่ะ เรียบร้อยดีไหม”
“เรื่อยๆ”
เรื่อยๆ ในที่นี้สำหรับคนอื่นคงไม่มีอะไร แต่สำหรับฟินเซอร์นั้น คือมีปัญหาเรื่อยๆ ต่างหาก
ก็อย่างที่บอก ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งสูงยิ่งเด่น ยิ่งธุรกิจก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด ก็ย่อมมีทั้งคนยินดีและอิจฉาเช่นกัน
เพราะฉะนั้น ก็ย่อมมีทั้งมิตรและศัตรูที่เข้าหา และส่วนมากคนที่เข้าหาก็เห็นจะมีแต่ศัตรูเสียส่วนใหญ่
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะเฮีย ผมพร้อม”
“แล้วเรื่องไฟกับมาเป็นยังไง ครึ่งปีแล้วไม่ใช่เหรอที่แต่งงานกัน”
“เฮียก็รู้ว่าผมรักใครไม่ได้” ฟินเซอร์ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
นี่คงเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้มารดาบังคับไฟซาลแต่งงานกับมารีน เพราะต้องการให้ไฟซาลหลุดพ้นจากความเจ็บปวดเสียใจ และความรู้สึกผิดในอดีต
“แต่มาก็น่ารักดีนะ และมาก็รักไฟมากด้วย เฮียเชื่อว่าถ้าไฟลองเปิดใจให้มาไฟอาจจะรัก...” ยังไม่ทันที่ฟินเซอร์จะเอ่ยจบ ไฟซาลก็เอ่ยแทรกเข้ามา
“คนที่ผมรักมีเพียงคนเดียวคือปลายวาด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผมก็ไม่มีวันเลิกรักเธอ”
“เฮียเข้าใจไฟนะ แต่เฮียกับแม่อยากเห็นไฟมีความสุขอีกครั้ง”
ความสุขที่ว่าไฟซาลไม่รู้เลย ว่าตัวเองจะได้มีโอกาสพบเจอมันอีกหรือไม่ หรือมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยเหมือนตลอดสิบปีที่ผ่านมา